ส่อวุ่น! เลือกตั้งซ่อม ส.ก. หนองจอก ปชช.จี้ กกต.แจงผู้ชนะอ้าง ‘เพื่อไทย’ ทั้งที่พรรคไม่รับรอง
กรุงเทพฯ – บรรยากาศการเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) เขตหนองจอก เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2568 ได้เกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายขึ้นหลังจากการปิดหีบและเริ่มนับคะแนน เมื่อกลุ่มประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนหนึ่งได้รวมตัวกันที่จุดนับคะแนน ณ สนามกีฬาบางกอกอารีน่า ก่อนจะเคลื่อนไปยังสำนักงานเขตหนองจอก เพื่อแสดงความไม่พอใจและเรียกร้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีผู้สมัครที่ได้รับชัยชนะถูกกล่าวหาว่าแอบอ้างสังกัดพรรคการเมือง
ประเด็นปัญหาที่สร้างความสับสนและนำไปสู่การรวมตัวประท้วงในครั้งนี้ เกิดจากกรณีของนายไพฑูรย์ อิสระเสรีพงษ์ ผู้สมัครหมายเลข 2 ซึ่งเป็นผู้ที่ชนะการเลือกตั้งซ่อม ส.ก. เขตหนองจอก ในครั้งนี้ ถูกประชาชนตั้งคำถามและกล่าวหาว่ามีการแอบอ้างตนว่าเป็นตัวแทนของพรรคเพื่อไทย ทั้งที่พรรคเพื่อไทยได้ออกมายืนยันอย่างชัดเจนว่าให้การรับรองผู้สมัครเพียงคนเดียวเท่านั้น คือ นายณรงค์ รัสมี ผู้สมัครหมายเลข 3
แหล่งข้อมูลจากประชาชนที่รวมตัวกันระบุว่า ในช่วงการหาเสียงที่ผ่านมา ทั้งผู้สมัครหมายเลข 2 และหมายเลข 3 มีการใช้ชื่อ ภาพ หรือสัญลักษณ์ที่เชื่อมโยงกับพรรคเพื่อไทยในการหาเสียง ซึ่งก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในหมู่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของนายไพฑูรย์ ผู้สมัครหมายเลข 2 ที่พบว่ามีการสวมเสื้อที่มีตราสัญลักษณ์พรรคเพื่อไทย และมีการนำไปใช้ในแผ่นพับหาเสียงต่างๆ แม้จะไม่มีเอกสารรับรองอย่างเป็นทางการจากพรรคเพื่อไทยก็ตาม
ภายหลังการนับคะแนน ผลการเลือกตั้งซ่อมอย่างไม่เป็นทางการปรากฏว่า นายไพฑูรย์ อิสระเสรีพงษ์ หมายเลข 2 เป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้ง โดยมีคะแนนนำนายณรงค์ รัสมี หมายเลข 3 ซึ่งเป็นผู้สมัครที่ได้รับการรับรองจากพรรคเพื่อไทยอย่างเป็นทางการ เพียงแค่ 250 คะแนนเท่านั้น
ความแตกต่างของคะแนนที่ไม่มากนี้ ประกอบกับการกระทำของผู้สมัครที่ถูกกล่าวหาว่าทำให้ประชาชนเข้าใจผิด ยิ่งสร้างความไม่พอใจแก่ประชาชนจำนวนมากที่มองว่าการดำเนินการของ กกต. ในการควบคุมและตรวจสอบการหาเสียงยังไม่มีความชัดเจนเพียงพอ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อความโปร่งใสและความยุติธรรมของการเลือกตั้งครั้งนี้
ด้วยเหตุนี้ กลุ่มประชาชนจึงได้รวมตัวกันเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อผู้อำนวยการสำนักงานเขตหนองจอก เพื่อเรียกร้องให้มีการดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงในประเด็นดังกล่าวอย่างเร่งด่วน รวมถึงตรวจสอบการอ้างสังกัดพรรคการเมืองของผู้สมัครที่ไม่ได้รับรองอย่างเป็นทางการ เพื่อหามาตรการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ขึ้นอีกในการเลือกตั้งครั้งต่อไป และสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการประชาธิปไตย