เนสท์เล่ ลุ้นศาลอุทธรณ์ฯ ชี้ขาดอำนาจศาล 20 มิ.ย. นี้ ยันเดินหน้าผลิต-ขาย ‘เนสกาแฟ’ ในไทยตามปกติ
กรุงเทพฯ – บริษัท เนสท์เล่ ประเทศไทย กำลังจับตาคำสั่งศาลอุทธรณ์ชำนัญพิเศษอย่างใกล้ชิด ในวันที่ 20 มิถุนายนนี้ ซึ่งจะเป็นวันนัดฟังคำพิจารณาเพื่อชี้ขาดว่า ศาลแพ่งมีนบุรีมีขอบเขตอำนาจในการพิจารณาคดีข้อพิพาทระหว่างเนสท์เล่ กับบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด (QCP) ผู้ผลิต ‘เนสกาแฟ’ ในประเทศไทยเดิมหรือไม่
คดีความดังกล่าวสืบเนื่องมาจากกรณีที่เนสท์เล่ตัดสินใจไม่ต่ออายุสัญญากับ QCP หรือที่รู้จักในนามตระกูล ‘มหากิจศิริ’ ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกันมาอย่างยาวนาน โดยสัญญามีกำหนดสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ภายหลัง QCP ได้ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งมีนบุรีในประเด็นข้อพิพาทด้านเครื่องหมายการค้า และได้คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวไม่ให้เนสท์เล่ดำเนินธุรกิจ ‘เนสกาแฟ’ ในประเทศไทย ซึ่งส่งผลให้การผลิตและจำหน่ายต้องหยุดชะงักไปในช่วงหนึ่ง
ตัวแทนจากบริษัท เนสท์เล่ ประเทศไทย ได้เปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า หลังศาลแพ่งมีนบุรีมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว เนสท์เล่ได้ยื่นคำร้องต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง เพื่อขอให้กลับมาดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ โดยให้เหตุผลถึงความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นต่อผู้บริโภคและธุรกิจตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟไปจนถึงผู้จำหน่ายสินค้า ล่าสุด เมื่อวันที่ 11 เมษายนที่ผ่านมา ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ ได้มีคำสั่งอนุญาตให้เนสท์เล่สามารถกลับมาดำเนินธุรกิจ ‘เนสกาแฟ’ ได้ตามปกติแล้ว
อย่างไรก็ตาม เนสท์เล่ยืนยันว่าตลอดระยะเวลาที่ดำเนินธุรกิจร่วมกับพันธมิตรในไทย บริษัทเป็นผู้บริหารจัดการโรงงานและผลิตภัณฑ์ทั้งหมดด้วยตนเอง และคดีความที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิ์และเครื่องหมายการค้า ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของศาล ดังนั้น การผลิตและจัดจำหน่ายสินค้า ‘เนสกาแฟ’ ยังคงดำเนินการตามปกติ ยืนยันว่าไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจและปริมาณสินค้าในประเทศไทยแต่อย่างใด
แหล่งข่าวจากเนสท์เล่เปิดเผยต่อไปว่า เนสท์เล่ได้ยื่นคำร้องต่อประธานศาลอุทธรณ์ชำนัญพิเศษ เพื่อขอให้วินิจฉัยในประเด็นอำนาจของศาลแพ่งมีนบุรีว่ามีขอบเขตในการพิจารณาคดีนี้หรือไม่ ซึ่งในวันที่ 20 มิถุนายนนี้ ศาลอุทธรณ์ชำนัญพิเศษได้นัดทั้งสองฝ่ายเข้าฟังคำพิจารณา หากศาลมีคำวินิจฉัยว่าศาลแพ่งมีนบุรีไม่มีอำนาจในการพิจารณาคดีนี้ ก็จะต้องจำหน่ายคดีไปให้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ เป็นผู้พิจารณาต่อไป แต่หากศาลวินิจฉัยว่าอยู่ในอำนาจของศาลแพ่งมีนบุรี ก็จะทำการไต่สวนคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของฝ่ายเนสท์เล่ต่อทันที
ตัวแทนเนสท์เล่ยังกล่าวถึงสถานการณ์การผลิตในปัจจุบันว่า หลังจากการยุติสัญญากับโรงงาน QCP ทำให้ QCP ไม่มีคำสั่งผลิตจากเนสท์เล่อีกต่อไป โรงงานจึงต้องหยุดผลิต ‘เนสกาแฟ’ ทั้งหมด เพื่อลดผลกระทบจากการขาดตลาด เนสท์เล่ได้มีการปรับกลยุทธ์ชั่วคราว โดยว่าจ้างผู้ผลิตรายอื่นภายในประเทศ รวมถึงการนำเข้าสินค้าจากโรงงานในเครือจากต่างประเทศ เช่น เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และโรงงานอื่นๆ ได้แก่ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด, บริษัท เบญจพันธ์พงศ์ จำกัด, บริษัท เนสท์เล่ เวียดนาม จำกัด, บริษัท เนสท์เล่ แมนนิวแฟคเชอริ่ง (มาเลเซีย) และบริษัท โตโย ไซกัน (ประเทศไทย) จำกัด
ในขณะนี้ สัดส่วนการนำเข้าสินค้า ‘เนสกาแฟ’ มีมากกว่าการผลิตในประเทศ เพื่อให้มีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภคในไทย เนื่องจากผู้ผลิตรายเดิมไม่สามารถผลิตได้อีกต่อไป แต่เนสท์เล่ยืนยันว่านี่เป็นเพียงมาตรการชั่วคราว พร้อมมีมาตรการดูแลพันธมิตรทางธุรกิจ เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ และผู้บริโภคอย่างเต็มที่ โดยยังคงยืนยันที่จะผลิต ‘เนสกาแฟ’ ในประเทศไทยต่อไปในอนาคต
เนสท์เล่ยังคงเป็นผู้รับซื้อเมล็ดกาแฟจากเกษตรกรไทยรายใหญ่ที่สุด คิดเป็นสัดส่วนกว่า 50% ของตลาด โดยเฉพาะในช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ แม้ผลผลิตกาแฟโรบัสต้าในไทยจะลดลงอย่างมากจากเดิมที่เคยสูงถึง 17,000 ตันในปี 2558 เหลือเพียง 5,900 ตันในปี 2567 เนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้จำเป็นต้องมีการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศเพื่อรองรับความต้องการในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นตามแนวโน้มการบริโภคกาแฟทั่วโลก
สำหรับมูลค่าตลาดกาแฟปรุงสำเร็จและกาแฟ 3 in 1 ในไทย ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา (เมษายน 2567 – มีนาคม 2568) อยู่ที่ประมาณ 23,000 ล้านบาท ‘เนสกาแฟ’ ถือเป็นแบรนด์ผู้นำตลาดและเป็นสินค้าที่ทำรายได้สูงสุดในพอร์ตของเนสท์เล่ หากสินค้า ‘เนสกาแฟ’ ขาดตลาด คาดว่าจะสร้างความเสียหายต่อยอดขายของบริษัทประมาณ 70 ล้านบาทต่อวัน
ทิศทางธุรกิจของ ‘เนสกาแฟ’ ในไทยหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร และความสัมพันธ์ระหว่างสองยักษ์ใหญ่ในวงการนี้จะจบลงเช่นไร ยังคงต้องติดตามคำตัดสินของศาล เนสท์เล่ย้ำว่าจะเคารพคำตัดสินของศาลทุกประการ และยังคงมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจในประเทศไทยอย่างรับผิดชอบและโปร่งใสต่อไป