สภาพัฒน์ชี้ ‘หนี้ครัวเรือน-ธุรกิจ’ ฉุดเศรษฐกิจไทย! หั่นเป้า GDP ปี 2568 เหลือ 1.8% แนะรัฐเร่งเบิกจ่ายงบกระตุ้น
กรุงเทพฯ – สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ ประกาศปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปี 2568 ลงเหลือ 1.8% ซึ่งเป็นค่ากลางของช่วงประมาณการ 1.3 – 2.3% สาเหตุหลักมาจากภาระหนี้สินของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่ยังคงอยู่ในระดับสูง รวมถึงความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก เลขาธิการสภาพัฒน์แนะรัฐบาลเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ
เปิดตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 1/2568
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 1 ของปี 2568 ขยายตัว 3.1% ต่อเนื่องจากการขยายตัว 3.3% ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 เมื่อปรับผลของฤดูกาลแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกขยายตัวจากไตรมาสก่อนหน้า 0.7%
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการขยายตัวในไตรมาสแรก ได้แก่ การผลิตภาคนอกเกษตรที่ชะลอลง แต่ถูกชดเชยด้วยการผลิตภาคเกษตรที่เร่งขึ้น ด้านการใช้จ่าย การบริโภคภาคเอกชนและภาครัฐ การนำเข้า และการลงทุนชะลอตัวลงเล็กน้อย ขณะที่การส่งออกสินค้าและบริการขยายตัวเร่งขึ้น
ปรับลดประมาณการปี 2568 เหลือ 1.8%
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยทั้งปี 2568 สภาพัฒน์คาดว่าจะขยายตัวในช่วง 1.3 – 2.3% โดยให้ค่ากลางที่ 1.8% การปรับลดครั้งนี้มีข้อจำกัดสำคัญมาจากภาระหนี้สินครัวเรือนและภาคธุรกิจที่ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน
นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยยังเผชิญความท้าทายจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลกในครึ่งหลังของปี การดำเนินมาตรการทางการค้าของสหรัฐฯ และความเสี่ยงจากความผันผวนในภาคเกษตร
ปัจจัยสนับสนุนที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจคือ การเพิ่มขึ้นของรายจ่ายลงทุนภาครัฐจากงบประมาณปี 2568 การบริโภคภาคเอกชนที่ยังขยายตัวต่อเนื่องจากอัตราว่างงานและเงินเฟ้อต่ำ และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวข้อง
ตัวเลขคาดการณ์รายองค์ประกอบปี 2568
- การอุปโภคบริโภค: ขยายตัว 2.4%
- การลงทุนภาคเอกชน: ลดลง 0.7%
- มูลค่าการส่งออก (ดอลลาร์สหรัฐ): ขยายตัว 1.8%
- อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย: อยู่ในช่วง 0.0 – 1.0%
- ดุลบัญชีเดินสะพัด: เกินดุล 2.5% ของ GDP
สภาพัฒน์แนะ 6 แนวทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
นายดนุชา ได้เสนอแนวทางการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในช่วงที่เหลือของปี 2568 เพื่อรับมือกับความท้าทายต่างๆ:
- เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ: โดยเฉพาะงบลงทุนปี 2568 และงบกันไว้เบิกเหลื่อมปี โดยมีเป้าหมายไม่ต่ำกว่า 70% และ 90% ตามลำดับ เน้นโครงการโครงสร้างพื้นฐาน พร้อมเพิ่มศักยภาพทางการคลัง
- รับมือมาตรการกีดกันทางการค้า: เจรจาการค้า/ลงทุนกับสหรัฐฯ ลดการเกินดุลการค้า ส่งเสริมส่งออก ขยายตลาดใหม่ เร่งเจรจา FTA ดึงดูดการลงทุน และช่วยบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน
- ปกป้องภาคการผลิตในประเทศ: เข้มงวดการตรวจสอบสินค้านำเข้า ปรับปรุงมาตรฐาน/บทลงโทษ ปราบปรามลักลอบ ตรวจสอบการทุ่มตลาด และสนับสนุนผู้ประกอบการเข้าถึงกระบวนการตอบโต้มาตรการการค้าที่ไม่เป็นธรรม (AD/CVD/AC) ป้องกันการแอบอ้างถิ่นกำเนิด
- ช่วยเหลือ SMEs: เน้นสร้างรายได้ ยกระดับศักยภาพ และสร้างความตระหนักรู้ด้านการจัดการหนี้ การปรับโครงสร้างหนี้
- ดูแลภาคเกษตร: เตรียมมาตรการรองรับผลผลิต จัดการน้ำ ฟื้นฟูแหล่งน้ำ และส่งเสริมเทคโนโลยีเพิ่มผลิตภาพ
- สร้างความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยว: เน้นความปลอดภัย เตรียมพร้อมสนามบิน ตม. โครงสร้างพื้นฐาน และจัดการสิ่งแวดล้อม
นายดนุชา ย้ำว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้ยังมีความไม่แน่นอนสูง ทั้งจากปัจจัยภายนอก เช่น การเจรจาการค้าหลังสหรัฐฯ ขึ้นภาษี การชะลอตัวของจีน และเศรษฐกิจประเทศเกิดใหม่ รวมถึงปัจจัยภายในคือความเสี่ยงจากหนี้ครัวเรือน คุณภาพสินเชื่อ และรายได้ภาคเกษตรที่ผันผวนตามสภาพอากาศ
ดังนั้น ภาคธุรกิจและประชาชนควรปรับตัว รับมือการเปลี่ยนแปลง และบริหารค่าใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง