“ณฐพร” ร้อง อสส.ส่งศาล รธน.ฟันพรรคการเมือง “ฮั้ว สว.” เข้าข่าย “ล้มล้างการปกครอง” อสส.ตั้งคณะทำงานสอบแล้ว

กรุงเทพฯ – วันที่ 16 พฤษภาคม 2568 – ความเคลื่อนไหวล่าสุดในประเด็นการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่ยังคงเป็นที่จับตาของสังคม ล่าสุด นายณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้ยื่นหนังสือต่ออัยการสูงสุด (อสส.) เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อขอให้พิจารณาส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 โดยอ้างว่าพฤติการณ์ของพรรคการเมืองและคณะบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการ"ฮั้ว" การเลือก สว. อาจเข้าข่ายเป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

นายณฐพรระบุในคำร้องว่า มีพยานหลักฐานที่ปรากฏตามคำร้องของผู้สมัคร สว. ที่ยื่นต่อหน่วยงานต่างๆ ทั้ง กกต., ศาลฎีกา, ศาลอาญาทุจริตฯ, ศาลปกครอง, ผู้ตรวจการแผ่นดิน และศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงพยานหลักฐานจากการสืบสวนสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ร่วมกับสำนักงาน กกต. ซึ่งได้ตรวจสอบข้อมูลธุรกรรมบุคคลกว่า 12,000 คน และใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ รวมถึงภูมิสารสนเทศ ประกอบการวิเคราะห์

จากการรวบรวมพยานหลักฐานดังกล่าว สรุปได้ว่ามีกระบวนการที่วางแผนอย่างเป็นระบบเพื่อฮั้วการเลือก สว. ประกอบด้วย:

  1. การวางแผนเบื้องต้น: พรรคการเมืองหนึ่งและคณะบุคคลได้วางแผนในจังหวัดเล็กที่มีฐานเสียงแน่นและการแข่งขันน้อย โดยจัดเตรียมผู้สมัครจากทุกกลุ่มอาชีพ (20 กลุ่ม) ในทุกอำเภอ พร้อมมีรายชื่อ สว. เป้าหมายไว้ล่วงหน้า มีการสนับสนุนผู้สมัครด้วยงบประมาณสูงถึงประมาณ 500 ล้านบาท โดยแบ่งเงินให้ผู้สมัครระดับอำเภอคนละ 15,000 บาท ซึ่งพบว่าผู้สมัครบางคนถูกหักหัวคิวและทำหน้าที่เป็นเพียงเครื่องมือ ไม่ได้มีเป้าหมายที่จะเป็น สว. จริงๆ
  2. การคัดเลือกและการเงิน: มีการจัดทำ "โพยฮั้ว" เพื่อให้กลุ่มผู้สมัคร "พลีชีพ" เลือกเป้าหมายแรกคือ สว. 140 คน แต่สุดท้ายได้ 138 คน และสำรองอีก 2 คน มีการจ่ายเงินเป็นขั้นๆ โดยผู้ที่ผ่านจากรอบอำเภอไปสู่รอบจังหวัดจะได้รับ 50,000 บาท และหากเข้ารอบประเทศจะได้เพิ่มอีก 100,000 บาท โดยมีการจ่ายเงินสดล่วงหน้า 20,000 บาท ส่วนที่เหลือจ่ายหลังกระบวนการเลือกเสร็จสิ้น
  3. การดำเนินการระดับประเทศ: นำผู้สมัครที่ผ่านเข้ารอบมาพักในโรงแรมที่อยู่นอกกรุงเทพมหานคร เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ มีการซักซ้อมวิธีการเลือก โดยให้เขียนเบอร์ผู้สมัครเป้าหมายในแบบฟอร์ม สว.3 แล้วนำเข้าคูหา เมื่อ กกต. สั่งห้ามนำแบบฟอร์มเข้าคูหา ก็เปลี่ยนวิธีเป็นการเขียนลงบนมือหรือแอบนำเข้าไป

นายณฐพรเห็นว่า พฤติการณ์ดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจนิติบัญญัติโดยวิธีการฉ้อฉล ผ่าน สว. ที่อยู่ในอาณัติของพรรคการเมือง ซึ่งจะส่งผลให้พรรคการเมืองดังกล่าวมีอำนาจควบคุมการบริหารกิจการบ้านเมืองในทุกมิติ ทั้งอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ

การกระทำนี้ นายณฐพรชี้ว่า เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพที่บั่นทอนทำลายหลักการพื้นฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ต้องการให้วุฒิสภาเป็นองค์กรที่ประสานความคิดเห็นจากบุคคลหลากหลายอาชีพ โดยไม่อยู่ภายใต้อุดมการณ์ทางการเมืองของพรรค เพื่อให้การตรากฎหมายได้รับการพิจารณาจากมุมมองที่รอบด้าน และเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองได้โดยตรงอย่างมีผลต่อการบริหารประเทศ การกระทำดังกล่าวจึงถือเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายหลักการพื้นฐานของรัฐธรรมนูญ และสั่นคลอนการปกครองระบอบประชาธิปไตยฯ ให้เสื่อมโทรมหรือต้องสิ้นสลายไป

ด้วยเหตุนี้ นายณฐพรจึงขอใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการปกป้องระบอบประชาธิปไตยฯ ยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุด เพื่อให้พิจารณาส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เนื่องจากเห็นว่าเป็นภัยร้ายแรงต่อระบอบการปกครอง เป็นคดีที่ประชาชนและสื่อมวลชนให้ความสนใจอย่างกว้างขวาง และมีประจักษ์พยานหลักฐานชัดเจนจากการรวบรวมของดีเอสไอและ กกต.

อสส. รับลูก ตั้งคณะทำงานสอบเข้ม

ต่อมาในวันนี้ (16 พฤษภาคม) นายศักดิ์เกษม นิโยคไทร ผู้ตรวจการอัยการ ในฐานะโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า อัยการสูงสุดได้รับคำร้องของนายณฐพรแล้ว และได้มีคำสั่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาพิจารณาเรื่องนี้ โดยมีรองอัยการสูงสุดเป็นหัวหน้าคณะทำงาน

นายศักดิ์เกษมกล่าวว่า คณะทำงานจะประชุมพิจารณาในรายละเอียดของคำร้องอย่างละเอียด ซึ่งอาจต้องมีการเรียกนายณฐพร ผู้ร้อง เข้ามาให้ข้อมูลเพิ่มเติม หรือขอพยานหลักฐานประกอบคำร้องเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม การพิจารณาจะต้องใช้เวลาในการตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดให้ละเอียดรอบคอบ ก่อนที่จะเสนอความเห็นต่ออัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาต่อไป

โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดยังกล่าวเสริมว่า ในการรวบรวมพยานหลักฐาน คณะทำงานอาจต้องพิจารณาตรวจสอบคำวินิจฉัยเดิมของศาลรัฐธรรมนูญที่เคยยกคำร้องของนายณฐพรในประเด็นการเลือก สว. เมื่อปี 2567 มาประกอบด้วย เพื่อตรวจสอบว่าเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องหรือเป็นกรณีเดียวกันกับที่เคยมีคำวินิจฉัยไปแล้วหรือไม่ ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถให้รายละเอียดได้จนกว่าคณะทำงานจะได้ประชุมพิจารณาในสัปดาห์หน้า

หากคณะทำงานพิจารณาแล้วเห็นว่าคำร้องมีมูลความจริงและเข้าข่ายตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 สำนักงานอัยการสูงสุดจะเป็นผู้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยต่อไป

ก่อนหน้านี้ นายณฐพรเคยยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยว่ากระบวนการเลือก สว. โดย กกต. ตั้งแต่เริ่มต้นจนประกาศผล ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และหลักนิติธรรม ทำให้การเลือก สว. ไม่สุจริตเที่ยงธรรมและกระทบต่อความสงบเรียบร้อย แต่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยยกคำร้องดังกล่าวไปแล้ว ซึ่งแตกต่างจากคำร้องล่าสุดนี้ที่เน้นพฤติการณ์ "ฮั้ว" โดยเฉพาะและอ้างอิงมาตรา 49.

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *