กรุงเทพฯ – บริษัท โรงพยาบาลนครธน จำกัด (มหาชน) หรือ NKT ประกาศเดินหน้าแผนการลงทุนขยายธุรกิจครั้งสำคัญในช่วงไตรมาส 2 ปี 2568 โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับบริการด้านสุขภาพและรองรับความต้องการของประชาชนที่เพิ่มขึ้น พร้อมคาดการณ์ว่ารายได้รวมในปี 2568 จะเติบโตตามเป้าที่ 8-10%

รศ.ญาณเดช ทองสิมา ประธานกรรมการบริษัท NKT เปิดเผยถึงแผนการลงทุนในอนาคต ประกอบด้วย:

• โครงการก่อสร้างโรงพยาบาลนครธน 2: ตั้งอยู่บนถนนเอกชัย มีขนาด 151 เตียง คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและสามารถเปิดให้บริการ รวมถึงเริ่มรับรู้รายได้ในช่วงปลายไตรมาส 4 ปี 2568 นี้
• โครงการนครธน ลองไลฟ์ เซ็นเตอร์: ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิงแบบองค์รวม ตั้งอยู่ใกล้กับโรงพยาบาลนครธนปัจจุบัน คาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ภายในปี 2569
• โครงการขยายจำนวนเตียงผู้ป่วยใน (IPD) ที่โรงพยาบาลนครธนเดิม: เพิ่มจำนวนเตียงอีก 95 เตียง จากปัจจุบัน 150 เตียง โดยจะทยอยเปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2568 จนถึงปี 2570

รศ.ญาณเดช กล่าวว่า การลงทุนในโรงพยาบาลนครธน 2 และ นครธน ลองไลฟ์ เซ็นเตอร์ มุ่งเน้นการยกระดับการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม โดยเฉพาะสำหรับผู้สูงวัยและผู้มีภาวะพึ่งพิง ในขณะที่การขยายเตียงผู้ป่วยในเป็นการตอบสนองต่อความต้องการบริการที่เพิ่มขึ้น การลงทุนทั้งหมดนี้ตอกย้ำถึงความเป็นผู้นำด้านบริการสุขภาพ และสะท้อนวิสัยทัศน์ของบริษัทที่มุ่งพัฒนาสู่ระบบสุขภาพอย่างยั่งยืน เพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการและส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชน

สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ปี 2568 (สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2568) NKT มีรายได้รวม 500.53 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 56.07 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 11.20% โดยรายได้หลักกว่า 98.78% หรือคิดเป็น 494.44 ล้านบาท มาจากการดำเนินงานของโรงพยาบาลนครธน ซึ่งเป็นรายได้จากผู้ป่วยนอก (OPD) และผู้ป่วยใน (IPD) ที่มีการเติบโตขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ด้าน พญ.ศิเรมอร ทองสิมา ผู้อำนวยการสายงานแพทย์ NKT กล่าวเสริมถึงจุดเด่นของโรงพยาบาลนครธนว่า มีความเชี่ยวชาญในการให้บริการรักษาโรคที่มีความซับซ้อน (โรงพยาบาลระดับตติยภูมิ) โดยมีศูนย์การแพทย์เฉพาะทางถึง 20 ศูนย์ อาทิ ศูนย์สมองและระบบประสาท ศูนย์หัวใจ ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ ศูนย์กระดูกสันหลัง ศูนย์มะเร็ง และศูนย์ทันตกรรม นอกจากนี้ยังมีแผนกไตเทียม และทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาอายุรศาสตร์เฉพาะทางและสาขาเฉพาะทางอื่นๆ ที่มีความพร้อม ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับการรักษา เพื่อตอบสนองทั้งการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันและการรักษาแบบองค์รวม (Medical)