พรรคประชาชน จี้นายกฯ ชี้แจงตรงๆ ปม ‘พอล แชมเบอร์ส’ ติดเงื่อนไขเจรจาการค้าสหรัฐฯ? หลัง ‘ทักษิณ’ ยอมรับปัญหาความมั่นคง-ฟ้องคนอเมริกัน

กรุงเทพฯ – น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล และ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน พร้อมใจกันเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี ออกมาแถลงต่อสาธารณชนด้วยตนเอง ถึงความชัดเจนกรณีการดำเนินคดีกับ นายพอล แชมเบอร์ส นักวิชาการชาวอเมริกัน ว่าเป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขในการเจรจาการค้ากับสหรัฐอเมริกาหรือไม่ หลังจากที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ออกมายอมรับเองว่า การเจรจามีปัญหาเรื่องความมั่นคงและคดีฟ้องร้องชาวอเมริกันเข้ามาเกี่ยวข้อง

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวถึงกรณีที่นายทักษิณให้สัมภาษณ์ยอมรับว่าการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ “ทางสหรัฐอเมริกาได้ใช้ข้อมูลจากหลายหน่วยงานเข้ามาผสม ทั้งเรื่องของความมั่นคง เรื่องที่เรามีปัญหาการฟ้องร้องคนอเมริกันอยู่บ้าง ซึ่งถูกนำเอามารวมกันหมด” โดย น.ส.ศิริกัญญา ชี้ว่า แม้นายทักษิณจะไม่ได้ระบุเจาะจง แต่ก็พอจะคาดเดาได้ว่า สหรัฐฯ อาจหยิบยกประเด็นการส่งตัวชาวอุยกูร์ และการฟ้องร้องนายพอล แชมเบอร์ส เป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขในการเจรจา หรืออาจถึงขั้นเป็นเงื่อนไขว่าจะได้เริ่มเจรจาเลยหรือไม่

“สิ่งที่นายทักษิณยังไม่ได้ตอบคือ นอกจากมีสติแล้ว เราจะแก้ปัญหา 2 เรื่องนี้อย่างไรต่อ ที่จริงคนที่ต้องตอบเรื่องนี้คือรัฐบาล ตั้งแต่อะไรคือปัญหาที่แท้จริง…ไปจนถึงทางออกของปัญหา 2 เรื่องนี้” น.ส.ศิริกัญญากล่าว และเสนอว่า กรณีของนายพอล แชมเบอร์ส น่าจะหาทางออกได้ด้วยการถอนฟ้องและตรวจสอบหน่วยงานที่แจ้งความโดยไม่มีหลักฐานชัดเจน ส่วนเรื่องชาวอุยกูร์ อาจต้องยืนยันว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์ซ้ำอีก

รองหัวหน้าพรรคประชาชนรายนี้ เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจและรับผิดชอบ ออกมาชี้แจงเรื่องนี้ด้วยตนเอง ไม่ใช่ยืมปากนายทักษิณ พร้อมยืดอกรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับปากท้องประชาชนหากการเจรจาต้องสะดุด และแถลงแนวทางการแก้ไขโดยยึดผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก

ขณะที่ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การทหาร กล่าวเสริมในประเด็นการดำเนินคดีกับนายพอล แชมเบอร์ส ตามมาตรา 112 โดยระบุว่า จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงในชั้น กมธ. พบว่าการแจ้งความของ กอ.รมน. อาจเข้าข่ายการใช้อำนาจโดยมิชอบ เนื่องจากหลักฐานที่นำมาแจ้งความคือเว็บไซต์สูจิบัตรสัมมนาออนไลน์ ที่นายพอลไม่ได้เป็นผู้เขียนและไม่เกี่ยวข้องกับสถาบันผู้จัด

นายวิโรจน์ ยังตั้งข้อสังเกตต่อการชี้แจงของโฆษกกองทัพบกที่ระบุว่าความผิด ม.112 เป็นอาญาแผ่นดิน ใครพบเห็นแจ้งความได้ ซึ่งถูกต้องหากทำในฐานะปัจเจกบุคคล แต่กรณีนี้ พล.ท.กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ ไปแจ้งความในนาม กอ.รมน. ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐ การดำเนินการต้องมีกฎหมายรองรับ แต่ทั้งผู้แทน กอ.รมน. และโฆษกกองทัพบก ยังไม่สามารถตอบได้ชัดเจนว่าใช้อำนาจตามมาตราใดใน พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในฯ

ประธาน กมธ.การทหาร ชี้ว่า การกระทำของ กอ.รมน. ครั้งนี้ นอกจากจะบ่อนทำลายหลักนิติรัฐแล้ว ยังส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและผลประโยชน์ของชาติ ที่น่ากังวลที่สุดคือ อาจเข้าข่ายการอ้างความจงรักภักดี ใช้ ม.112 เป็นเครื่องมือก่อข้อพิพาทระหว่างประเทศ ทำให้สถาบันฯ ตกอยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง และกระทบต่อพระเกียรติยศในเวทีโลก

“ขนาดนายทักษิณ พ่อของนายกฯ ยังออกมายอมรับเองว่า เรื่องนี้อาจมีผลกระทบต่อการเจรจากรณีภาษีศุลกากรตอบโต้กับสหรัฐฯ แต่จนถึงปัจจุบันนายกฯ ในฐานะ ผอ.รมน. ก็ยังไม่แสดงความเห็นเรื่องนี้ว่าจะคลี่คลายสถานการณ์อย่างไร” นายวิโรจน์กล่าว และตั้งคำถามถึงความรับผิดชอบของ กอ.รมน. และเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้อง หากคดีนี้มีคำสั่งไม่ฟ้องหรือยกฟ้องในที่สุด

นายวิโรจน์ ทิ้งท้ายว่า เหตุการณ์นี้เป็นอีกข้อพิสูจน์ว่ารัฐบาลเพื่อไทยไม่มีเจตจำนงให้รัฐบาลพลเรือนอยู่เหนือกองทัพ ปล่อยให้ฝ่ายความมั่นคงลุแก่อำนาจ ใช้ ม.112 ตามอำเภอใจ โดยไม่สนใจผลกระทบต่อประชาชนและเกียรติภูมิประเทศ หากรัฐทหารยังคงอยู่เหนือกฎหมาย การปฏิรูปกองทัพก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *