เช็กด่วน! หมอเจด เตือน 5 อาการปวดท้อง เสี่ยง ‘มะเร็งลำไส้’ ที่หลายคนมองข้าม

นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ หรือ หมอเจด รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ได้โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊กส่วนตัว เพื่อเตือนภัยประชาชนให้ใส่ใจอาการปวดท้องที่อาจไม่ใช่เรื่องธรรมดาอย่างที่คิด โดยเฉพาะหากมีอาการเรื้อรังและไม่หายไป

หมอเจด ระบุว่า หลายครั้งอาการปวดท้องถูกมองข้ามไปว่าเป็นเพียงผลจากการกินเผ็ดหรือความเครียด แต่แท้จริงแล้ว อาการปวดท้องบางประเภทอาจเป็นสัญญาณเตือนสำคัญของโรคมะเร็งลำไส้ การรับรู้และสังเกตอาการเหล่านี้ จะช่วยให้สามารถเข้าสู่กระบวนการตรวจวินิจฉัยได้เร็วขึ้น ซึ่งเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้มาก

5 อาการปวดท้องที่ไม่ควรมองข้าม สัญญาณเตือนมะเร็งลำไส้ ได้แก่:

  1. ปวดหน่วงๆ แน่นๆ ที่ท้องด้านซ้ายล่างแบบบ่อยๆ
    หากมีอาการแน่นหรือหน่วงบริเวณท้องด้านซ้ายล่างเป็นประจำ โดยเฉพาะช่วงบ่ายหรือหลังมื้อเย็น และเป็นติดต่อกันนานเกิน 2 สัปดาห์ ควรเฝ้าระวัง ตำแหน่งนี้เป็นส่วนของลำไส้ใหญ่ส่วน Descending Colon ซึ่งเป็นบริเวณที่พบมะเร็งได้บ่อย หากมีก้อนเนื้อ อาจขัดขวางการเคลื่อนไหวของลำไส้ ทำให้เกิดอาการปวดเรื้อรัง
  2. ปวดท้อง ร่วมกับน้ำหนักลดโดยไม่ได้ตั้งใจ
    การที่น้ำหนักลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (หลายกิโลกรัม) โดยที่ไม่ได้อยู่ในช่วงควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย หรือมีภาวะอื่นที่อธิบายได้ชัดเจน ร่วมกับอาการปวดท้อง เบื่ออาหาร หรือท้องไม่สบาย อาจเป็นสัญญาณที่ร่างกายกำลังต่อสู้กับสิ่งผิดปกติ เช่น เซลล์มะเร็ง ร่างกายจะมีการเผาผลาญพลังงานสูงขึ้น ทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า Cancer Cachexia คือการสูญเสียกล้ามเนื้อและไขมันแม้รับประทานอาหารปกติ
  3. ปวดท้อง ร่วมกับถ่ายเป็นเลือด หรืออุจจาระเปลี่ยนแปลกไป
    การมีเลือดปนมากับอุจจาระ ไม่ได้หมายถึงริดสีดวงเสมอไป โดยเฉพาะหากอุจจาระมีลักษณะเปลี่ยนไป เช่น สีคล้ำเหมือนยางมะตอย หรือมีลักษณะแบนเรียวผิดปกติ ร่วมกับมีเลือดปน อาการเหล่านี้อาจบ่งชี้ว่ามีก้อนเนื้อหรือสิ่งผิดปกติที่ทำให้ทางเดินในลำไส้แคบลง ซึ่งเป็นอาการที่พบได้ในโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง (Colorectal Cancer)
  4. ปวดท้อง ร่วมกับท้องผูกสลับท้องเสีย
    การที่พฤติกรรมการขับถ่ายเปลี่ยนแปลงไปอย่างผิดปกติ คือมีอาการท้องผูกและท้องเสียสลับกันไปมาเป็นระยะ ร่วมกับมีอาการปวดท้องเป็นพักๆ แบบเรื้อรัง อาจเป็นสัญญาณว่ามีสิ่งกีดขวางหรือการอักเสบในลำไส้ที่รบกวนการทำงาน อาการท้องผูกสลับท้องเสียนี้พบได้บ่อยในผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะแรก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุเกิน 50 ปี หรือผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็ง
  5. ปวดเบ่งตลอดเวลา เหมือนถ่ายไม่สุด (Tenesmus)
    อาการรู้สึกอยากถ่ายตลอดเวลา แต่เมื่อเข้าห้องน้ำแล้วถ่ายไม่ออก หรือรู้สึกเหมือนยังมีอุจจาระค้างอยู่แม้จะเพิ่งถ่ายเสร็จ อาจเกิดจากก้อนเนื้อหรือการอักเสบเรื้อรังบริเวณลำไส้ส่วนปลายหรือทวารหนัก ซึ่งไปกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกปวดเบ่งอยู่ตลอดเวลา อาการนี้เรียกว่า Tenesmus พบได้บ่อยในมะเร็งลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย (Rectal Cancer) และโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง

หมอเจด เน้นย้ำว่า หากมีอาการปวดท้องที่ “แปลกไปจากเดิม” หรือมีอาการร่วมอื่นๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เช่น การขับถ่ายผิดปกติ น้ำหนักลด หรือมีเลือดออก ควรให้ความสำคัญและไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้

สำหรับผู้ที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป หรือมีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ ควรพิจารณาเข้ารับการตรวจคัดกรอง แม้ยังไม่มีอาการ การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การตรวจหาเลือดแฝงในอุจจาระ (FIT Test) ซึ่งเป็นวิธีที่ทำได้ง่ายและสะดวก การตรวจพบมะเร็งตั้งแต่ระยะเริ่มต้นมีโอกาสรักษาให้หายขาดได้สูงมาก

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *