หอการค้าไทย ชี้ ‘มูดี้ส์’ ลดมุมมองเครดิต สัญญาณเตือนภัยเสถียรภาพการคลังไทย ห่วงกระทบลงทุน

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานสภาหอการค้าไทย เปิดเผยถึงกรณีที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลกอย่าง มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส (Moody’s Investors Service) ได้ปรับลดแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Outlook) ของประเทศไทยจากระดับ Stable (มีเสถียรภาพ) เป็น Negative (เชิงลบ) ว่า เป็นประเด็นที่ทุกภาคส่วนควรให้ความสำคัญและจับตาอย่างใกล้ชิด

นายพจน์ ระบุว่า การปรับลดมุมมองของมูดี้ส์ครั้งนี้ แม้จะยังไม่ได้เป็นการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) โดยตรง แต่การเปลี่ยน Outlook เป็น Negative นั้น ถือเป็น “สัญญาณเตือน” ที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ประเทศไทยกำลังพยายามอย่างเต็มที่ในการดึงดูดเงินทุนจากต่างชาติและฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤตต่างๆ สัญญาณนี้อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงตลาดการเงินระหว่างประเทศ

ประเด็นความกังวลหลักที่สะท้อนผ่านการปรับลดมุมมองของมูดี้ส์ คือ เสถียรภาพทางการคลังของประเทศไทยในระยะกลางถึงระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านของวินัยการคลัง การบริหารจัดการหนี้สาธารณะที่อาจเพิ่มสูงขึ้น และประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ของภาครัฐ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่มูดี้ส์ใช้ในการประเมินความสามารถของประเทศในการชำระหนี้

นอกจากปัจจัยภายในประเทศแล้ว นายพจน์ยังเชื่อว่า ส่วนหนึ่งของการประเมินของมูดี้ส์อาจมาจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังมีความผันผวนสูง โดยเฉพาะนโยบายการค้าของประเทศมหาอำนาจ เช่น การที่สหรัฐอเมริกาอาจพิจารณาปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า ซึ่งย่อมส่งผลกระทบต่อหลายประเทศทั่วโลกที่มีความเชื่อมโยงทางการค้าและการส่งออกกับสหรัฐฯ รวมถึงประเทศไทยด้วย

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีสัญญาณเตือนในเรื่องเสถียรภาพการคลัง นายพจน์และหอการค้าไทยยังคงเชื่อมั่นว่า ประเทศไทยยังมีเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจอื่นที่แข็งแกร่งและพร้อมที่จะขับเคลื่อนต่อไปได้ ไม่ว่าจะเป็นภาคการท่องเที่ยวที่ยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง การบริโภคภายในประเทศที่ยังมีกำลังซื้อ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ที่ภาครัฐกำลังดำเนินการ นอกจากนี้ การฟื้นตัวของการลงทุนทั้งจากภาคเอกชนไทยและนักลงทุนต่างชาติ ก็เป็นอีกปัจจัยที่จะช่วยประคองเศรษฐกิจ

ในส่วนของผลกระทบทางอ้อมจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะหากมีการปรับอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศคู่ค้าจริงตามแนวทางที่เคยมีสัญญาณมาก่อนหน้านี้ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยและผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในภาพรวมได้

แต่ตามหลักการค้าระหว่างประเทศที่เคยแจ้งไว้ในลักษณะ ‘กาลักน้ำ’ สินค้ายังไงก็ต้องมีการเคลื่อนย้ายไปยังตลาดอื่น ดังนั้น สำหรับสินค้าและตลาดที่มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวได้ การเร่งหาและขยายตลาดใหม่ๆ ในประเทศที่มีศักยภาพ จึงเป็นแนวทางสำคัญที่ประเทศไทยควรเร่งดำเนินการอย่างจริงจัง

ข้อเสนอแนะจากหอการค้าไทยคือ ภาคธุรกิจไทยต้องเร่งปรับตัวเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ควบคู่ไปกับการที่ภาครัฐต้องเร่งขับเคลื่อนการพัฒนาศักยภาพแรงงาน การส่งเสริมนวัตกรรม และการนำเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *