กรุงเทพฯ – 17 พฤษภาคม 2568 – เกิดเหตุการณ์ตึงเครียดขึ้นกลางกรุงเทพมหานคร เมื่อช่วงสายที่ผ่านมา ณ ชุมชนริมคลองลาดพร้าว 80 แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง หลังกลุ่มชายฉกรรจ์ในชุดดำจำนวนกว่า 30 คน ได้บุกเข้าพื้นที่และดำเนินการปิดกั้นทางเข้า-ออกของชาวบ้านที่อยู่อาศัยในบริเวณดังกล่าวอย่างอุกอาจ โดยอ้างสิทธิ์จากบริษัทเอกชน แต่กลับไร้ซึ่งเอกสารทางกฎหมาย อาทิ หมายศาล หรือคำบังคับคดี

กลุ่มชายชุดดำดังกล่าวได้แสดงตนว่าเป็นตัวแทนจากบริษัท รีเจ้นท์ กรีน เพาเวอร์ จำกัด พร้อมทั้งได้นำป้ายกรรมสิทธิ์ของบริษัทฯ เข้ามาปักเตือนห้ามบุกรุกในพื้นที่ นอกจากนี้ ยังได้นำอุปกรณ์มาขุดหลุมและฝังเสาคอนกรีตเพื่อปิดทางเข้า-ออกหลักของชุมชนอย่างชัดเจน การกระทำนี้สร้างความตกใจและความไม่พอใจอย่างรุนแรงให้กับชาวบ้านที่พักอาศัยมาเป็นเวลานาน

ชาวบ้านในชุมชน ซึ่งหลายครอบครัวอาศัยอยู่ในพื้นที่นี้มานานกว่า 20 ปี หรือบางรายถึง 2-3 รุ่น ต่างรวมตัวกันออกมาต่อต้านและสอบถามถึงเหตุผลของการบุกรุกที่ไร้ซึ่งการแจ้งเตือนล่วงหน้าและการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย เสียงตะโกนแสดงความไม่พอใจดังขึ้น โดยชาวบ้านบางส่วนได้ประณามการกระทำของกลุ่มชายชุดดำว่า “ใช้กฎหมู่ ไม่ใช่กฎหมาย” นำไปสู่การปะทะคารมและเหตุการณ์ชุลมุนเล็กน้อย

จากสถานการณ์ที่ทวีความตึงเครียด ชาวบ้านจึงรีบแจ้งไปยังศูนย์รับแจ้งเหตุ 191 และเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง เพื่อเข้าระงับเหตุโดยด่วน

ต่อมา พ.ต.อ.ประสพโชค เอี่ยมพินิจ ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนและเจ้าหน้าที่สายตรวจ เข้าพื้นที่เพื่อควบคุมสถานการณ์ ระงับการปะทะ และแยกคู่กรณีออกจากกัน เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์บานปลายไปมากกว่านี้

ตัวแทนชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบได้ให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวว่า พวกเขาไม่เคยได้รับการแจ้งเตือนถึงการเวนคืนที่ดิน การไล่รื้อ หรือคำสั่งศาลใดๆ มาก่อน การกระทำของกลุ่มชายชุดดำในครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันและไร้ซึ่งกระบวนการทางกฎหมายที่ถูกต้อง

หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าควบคุมสถานการณ์เบื้องต้นได้ มีการนัดหมายให้ตัวแทนชาวบ้านและฝ่ายนายทุนเข้าเจรจากันที่ สน.ห้วยขวาง แต่ปรากฏว่าทางฝ่ายที่ส่งชายชุดดำมากลับไม่เดินทางมาตามนัด ทำให้การเจรจาไม่เกิดขึ้น

ด้วยเหตุนี้ ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจึงได้รวมตัวกันเข้าลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานที่ สน.ห้วยขวาง เพื่อเตรียมดำเนินการทางกฎหมายต่อไปในการปกป้องสิทธิ์ของตนเอง

ขณะนี้ ชาวบ้านในพื้นที่ยังคงอยู่ในความกังวลและเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยยืนยันว่าจะไม่ยอมถูกขับไล่ออกจากพื้นที่ที่พวกเขาอาศัยมานานโดยปราศจากกระบวนการยุติธรรม