ล็อกตัววุ่น! หนุ่มอ้างเป็นพญานาค คลั่งท้ายหมู่บ้านเชียงราย ชาวบ้านผวา จนท.ใช้ ‘น้ำมนต์’ กล่อมถึงสงบ
เชียงราย – เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารพราน และตชด. เข้าควบคุมตัวชายวัย 43 ปี ที่อ้างตัวเป็น "พญานาค" และมีอาการคลุ้มคลั่งพร้อมพกอาวุธมีด สร้างความหวาดผวาให้ชาวบ้านท้ายหมู่บ้านใน อ.แม่จัน จ.เชียงราย การจับกุมเป็นไปอย่างตึงเครียด ก่อนเจ้าหน้าที่จะใช้ "น้ำมนต์" ปลอมในการกล่อมชายคนดังกล่าวให้สงบลงได้
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา เมื่อพันตำรวจตรี ศักดิ์ชาย รีอินทร์ สารวัตรปราบปราม สถานีตำรวจภูธรแม่จัน จังหวัดเชียงราย ได้รับแจ้งจากผู้ใหญ่บ้านหมู่ 9 ตำบลศรีค้ำ อำเภอแม่จัน ว่ามีชายแปลกหน้า ท่าทางคล้ายผู้ป่วยทางจิต และน่าจะมีอาวุธ เข้ามาพักอาศัยอยู่ในกระท่อมร้างท้ายหมู่บ้านนานกว่า 2 วันแล้ว ทำให้ชาวบ้านในละแวกนั้นเกิดความหวาดกลัว ไม่กล้าออกไปทำไร่ทำสวน
หลังจากได้รับแจ้งความ ตำรวจ สภ.แม่จัน นำโดย พันตำรวจตรี ศักดิ์ชาย รีอินทร์ พร้อมกำลังสายตรวจ ได้ประสานกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนที่ 327 (ตชด.327) และกำลังทหารพรานจากหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 31 (ฉก.ทพ.31) รีบรุดเดินทางไปยังกระท่อมเป้าหมายทันที
เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึง พบชายคนดังกล่าวอยู่ในกระท่อม มีท่าทีไม่เป็นมิตรและไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่เข้าใกล้ เมื่อเจ้าหน้าที่พยายามพูดคุยและเข้าควบคุมตัว ชายคนดังกล่าวเกิดอาการคลุ้มคลั่งอย่างรุนแรง อ้างตัวว่าเป็น "พญานาค" พร้อมทั้งแลบลิ้นใส่เจ้าหน้าที่ สร้างความตกใจให้กับทีมเข้าจับกุมเล็กน้อย
เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และตชด. ได้เข้าล็อกตัวชายคนดังกล่าวไว้ได้อย่างทุลักทุเล ระหว่างที่ถูกควบคุมตัว ชายคนนี้ยังคงเพ้อและท่องคาถาคล้ายภาษาที่ไม่เข้าใจ โดยอ้างว่าเป็นภาษาของพญานาค ด้วยไหวพริบของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อที่จะให้ชายคนดังกล่าวสงบลง จึงได้ทำทีเป็นการเสกน้ำมนต์ ก่อนจะนำน้ำเปล่ามาให้ดื่มและประพรมไปที่ตัว ซึ่งหลังจากได้รับ "น้ำมนต์" ปลอมนี้ ชายคนดังกล่าวก็เริ่มมีอาการสงบลงอย่างเห็นได้ชัด
จากการตรวจสอบภายหลัง ชายคนดังกล่าวอายุ 43 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ที่ตำบลน้ำรอบ อำเภอลานสัก จังหวัดอุทัยธานี และเมื่อทำการตรวจค้นภายในกระเป๋าสะพายของเขา พบอาวุธมีดหลากหลายชนิดหลายเล่ม ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อตนเองและผู้อื่นได้
เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ได้นำตัวชายคนดังกล่าวส่งเข้ารับการตรวจอาการทางจิตที่โรงพยาบาลแม่จัน เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยและประเมินสภาพจิตใจอย่างละเอียด ก่อนจะประสานญาติพี่น้องให้มารับตัวกลับไปดูแลและเข้ารับการรักษาอาการป่วยอย่างจริงจังต่อไป เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ขึ้นอีกในอนาคต.