ผู้ชายไทย 45+ เสี่ยงภาวะ ‘พร่องฮอร์โมนเพศชาย’ สูง! หมอเตือน อาการเหนื่อยอาจสัญญาณโรคเรื้อรัง
กรุงเทพฯ – เนื่องในโอกาสที่มูลนิธิฮอร์โมนและการเผาผลาญแห่งยุโรป (European Hormone and Metabolism Foundation หรือ ESE Foundation) และสมาคมต่อมไร้ท่อแห่งยุโรป (The European Society of Endocrinology) ได้ประกาศให้วันที่ 24 เมษายนของทุกปี เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) เป็น “วันฮอร์โมนโลก” (World Hormone Day) เพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของฮอร์โมนต่อสุขภาพ เบซินส์ เฮสธ์แคร์ (ไทยแลนด์) บริษัทด้านเวชภัณฑ์ จึงได้ร่วมรณรงค์ให้คนไทย โดยเฉพาะผู้ชายวัย 45 ปีขึ้นไป หันมาใส่ใจสุขภาพฮอร์โมนของตนเองมากขึ้น ภายใต้แนวคิด “สุขภาพดี เริ่มที่ใส่ใจฮอร์โมน”
ข้อมูลจาก Besins Healthcare พบว่า ปัจจุบันผู้ชายจำนวนมากกำลังเผชิญปัญหาภาวะพร่องฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone Deficiency Syndrome – TDS) โดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 45 ปีขึ้นไป ซึ่งมีอัตราการพบสูงถึง 40-60% โดยสัญญาณเตือนที่มักถูกมองข้ามเพราะคิดว่าเป็นเพียงอาการอ่อนเพลียหรือความเหนื่อยล้าตามวัย ได้แก่:
- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายผิดปกติ
- นอนหลับยาก หรือนอนไม่เต็มอิ่ม
- หงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวน
- สมรรถภาพทางเพศลดลง
- กล้ามเนื้อลดลง แต่มวลไขมันเพิ่มขึ้น
- ขาดแรงจูงใจ หรือความกระตือรือร้นในการใช้ชีวิต
นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านต่อมไร้ท่อ ย้ำเตือนว่า ภาวะพร่องฮอร์โมนเพศชายไม่ได้ส่งผลแค่เรื่องสมรรถนะทางเพศเท่านั้น แต่ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่เชื่อมโยงกับการเกิดโรคเรื้อรังที่อันตราย เช่น โรคอ้วนลงพุง โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และภาวะไขมันในเลือดสูง ซึ่งโรคเหล่านี้หากไม่ได้รับการดูแล อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตก่อนวัยอันควรได้
ดังนั้น ผู้ชายที่มีอาการดังกล่าวข้างต้น ไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรเริ่มสังเกตอาการตนเองอย่างสม่ำเสมอ และสามารถใช้แบบประเมินเบื้องต้น “ADAM Check” ซึ่งเป็นแบบสอบถามง่ายๆ เพื่อประเมินความเสี่ยงของภาวะพร่องฮอร์โมนเพศชาย หากพบว่ามีความเสี่ยง ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านต่อมไร้ท่อ เพื่อรับการตรวจวัดระดับฮอร์โมนในเลือดอย่างละเอียด และวางแผนการดูแลสุขภาพที่เหมาะสม
สำหรับการรักษาภาวะพร่องฮอร์โมนเพศชายที่ได้รับการวินิจฉัย แพทย์อาจพิจารณาการรักษาด้วยฮอร์โมนทดแทน (Testosterone Replacement Therapy – TRT) ควบคู่กับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ เช่น การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการควบคุมอาหาร โดยปัจจุบันการรักษาด้วยฮอร์โมนทดแทนมีความปลอดภัยและมีหลายรูปแบบให้เลือก:
- การรับประทาน: สะดวก แต่การดูดซึมค่อนข้างน้อย และอาจมีผลต่อตับหากใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน
- การฉีด: เห็นผลค่อนข้างเร็วในช่วงแรก แต่ระดับฮอร์โมนในเลือดอาจมีการแกว่งตัว กล่าวคือ สูงในช่วงแรกหลังฉีด และลดลงในช่วงใกล้ถึงกำหนดฉีดครั้งต่อไป
- แบบทาบนผิวหนัง (Topical Gel): เป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น มีความปลอดภัย ใช้ง่าย สะดวก สามารถใช้เองได้ที่บ้าน โดยทาลงบนผิวหนังที่แห้งและสะอาด เช่น บริเวณหัวไหล่ ต้นแขน หรือหน้าท้อง ในเวลาเดียวกันทุกวัน เพื่อช่วยรักษาระดับฮอร์โมนให้คงที่สม่ำเสมอ
ผู้เชี่ยวชาญย้ำว่า การฟื้นฟูระดับฮอร์โมนให้กลับมาสมดุลไม่ใช่แค่เรื่องของการใช้ยาหรือฮอร์โมนทดแทนเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมาพร้อมกับการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ ทั้งการงดสูบบุหรี่ จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์ การจัดการความเครียดอย่างมีสติ การออกกำลังกายที่เหมาะสม และการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เมื่อร่างกายได้รับการดูแลแบบองค์รวม ผู้ที่มีภาวะพร่องฮอร์โมนก็สามารถกลับมามีสุขภาพที่แข็งแรง มีพลัง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างยั่งยืน
เพราะฉะนั้น อย่ารอช้า หากคุณเป็นผู้ชายอายุ 45 ปีขึ้นไป และเริ่มมีอาการข้างต้น ควรปรึกษาแพทย์และตรวจเช็คสุขภาพฮอร์โมนของคุณก่อนสาย
สำหรับผู้ที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาวะพร่องฮอร์โมนเพศชายและการดูแลสุขภาพ สามารถเข้าชมได้ที่เว็บไซต์ www.besins-healthcare.co.th