“พระสมเด็จเหม็น” หลวงพ่ออุ้น วัดตาลกง: ตำนานพุทธคุณ ๘ ปี สู่ประสบการณ์จริงศิษย์

ย้อนตำนานพระเกจิอาจารย์แห่งเมืองเพชรบุรี “หลวงพ่ออุ้น สุขกาโม” หรือ “พระครูวินัยวัชรกิจ” อดีตเจ้าอาวาสวัดตาลกง ต.มาบปลาเค้า อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี ผู้สร้างวัตถุมงคลที่โด่งดังและมีชื่อเรียกขานเป็นเอกลักษณ์ นั่นคือ “พระสมเด็จเหม็น” ซึ่งไม่ใช่เป็นเพราะองค์พระมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ แต่กลับเต็มเปี่ยมด้วยพุทธคุณและประสบการณ์เล่าขานจากผู้ที่นำไปบูชา

หลวงพ่ออุ้น เดิมชื่อ อุ้น อินพรหม เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ ๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๙ ที่บ้านหนองหินถ่วง อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี ท่านเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์เมื่ออายุครบ ๒๐ ปี ในวันที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ณ พัทธสีมาวัดตาลกง โดยมีพระอุปัชฌาย์คือพระอธิการชัน วัดมาบปลาเค้า, พระกรรมวาจาจารย์คือพระอธิการผิว วัดตาลกง และพระอนุสาวนาจารย์คือพระอธิการขาว วัดอินจำปา

หลังจากอุปสมบท หลวงพ่ออุ้นได้จำพรรษาอยู่ที่วัดตาลกง ศึกษาพระธรรมวินัย และปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อผิว ผู้เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในการศึกษาด้านวิทยาคม หลวงพ่อผิวเห็นถึงความตั้งใจและความมานะของหลวงพ่ออุ้น จึงได้ถ่ายทอดสรรพวิชาให้จนหมดสิ้น

ต่อมา ท่านได้เดินทางไปฝากตัวเป็นศิษย์กับหลวงพ่อทองศุข วัดโตนดหลวง พระเกจิชื่อดังอีกรูปแห่งเมืองเพชรบุรี เพื่อขอเล่าเรียนวิชา โดยเฉพาะการฝึกกสิณ ๑๐ และตำรับผงเมตตาต่างๆ ด้วยความเพียรและแรงบันดาลใจ หลวงพ่ออุ้นต้องเดินทางไป-กลับระหว่างวัดตาลกงกับวัดโตนดหลวง ครั้งละนานถึง ๑๕ วัน และยังร่วมออกปริวาสกรรม บำเพ็ญเพียรในป่าช้าร่วมกับหลวงพ่อทองศุขเป็นประจำ นอกจากนี้ ท่านยังได้เรียนวิชาสะกดชาตรีจากหลวงพ่อจัน วัดมฤคทายวัน และวิทยาคมจากพระอธิการชัน วัดมาบปลาเค้า

ตลอดชีวิตในร่มกาสาวพัสตร์ หลวงพ่ออุ้นเป็นแบบอย่างของพระภิกษุผู้เคร่งครัดในพระธรรมวินัย เปี่ยมด้วยเมตตา และสงเคราะห์ญาติโยม ท่านมีผลงานโดดเด่นในการสร้างเสนาสนะและถาวรวัตถุต่างๆ มากมาย ทั้งอุโบสถ ศาลาการเปรียญ กุฏิสงฆ์ ฌาปนสถาน และอื่นๆ

ในด้านการปกครองคณะสงฆ์ ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นพระกรรมวาจาจารย์ในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ และเป็นเจ้าอาวาสวัดตาลกงในปี พ.ศ. ๒๕๐๔ ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรีที่ “พระครูวินัยวัชรกิจ” ในปี พ.ศ. ๒๕๒๒ และเลื่อนเป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโทในราชทินนามเดิมในปี พ.ศ. ๒๕๓๑

สำหรับวัตถุมงคลที่สร้างชื่อเสียงให้กับหลวงพ่ออุ้นอย่างมากคือ “พระสมเด็จเหม็น” ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อหาทุนทรัพย์ในการสร้างพระอุโบสถหลังใหม่แทนหลังเก่าที่มีอายุมากกว่า ๑๖๐ ปี ในการสร้างพระครั้งนั้น หลวงพ่ออุ้นได้นำผงอิทธิเจที่หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ จ.ชลบุรี เคยมาทำบรรจุโอ่งไว้ที่วัดตาลกงตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๔๗ (ซึ่งต่อมาหลวงพ่ออุ้นเก็บรักษาไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๕) มาผสมกับผงพุทธคุณต่างๆ ของท่านเอง ทั้งผงอิทธิเจ ผงปถมัง ผงมหาราช พร้อมทั้งนำข้าวปากบาตรและข้าวก้นบาตรมาบดผสมกัน แล้วจึงนำไปกดพิมพ์เป็นพระผงพิมพ์สี่เหลี่ยมคล้ายพระสมเด็จ

สาเหตุที่เรียกขานว่า “พระสมเด็จเหม็น” ก็เพราะส่วนผสมของข้าวก้นบาตรที่นำมาหมักรวมกับผงพุทธคุณ ทำให้องค์พระมีกลิ่นเหม็นที่เป็นเอกลักษณ์ โดยความมากน้อยของกลิ่นขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการหมัก

พระสมเด็จเหม็น หรือที่เรียกอีกชื่อว่า พระสมเด็จพิมพ์คะแนน สร้างรวมประมาณ ๘๔,๐๐๐ องค์ ส่วนหนึ่งจำนวน ๕๐,๐๐๐ องค์ ได้นำไปบรรจุไว้ในองค์พระอุโบสถหลังใหม่ ส่วนที่เหลืออีกประมาณ ๓๐,๐๐๐ องค์ ได้แจกจ่ายให้แก่พุทธศาสนิกชน โดยแบ่งตามลักษณะยันต์ด้านหลังเป็นหลายแบบ เช่น มียันต์หลัง ว.ต.ก. ชัดเจน, มียันต์หลังและคำว่า ว.ต.ก. ไม่ชัดเจน (เนื่องจากป้ายสีผึ้ง) และมียันต์หลังเลือนราง

ความพิเศษอีกอย่างคือเนื้อลองพิมพ์เป็นสีแดงอมน้ำตาล (ประมาณ ๕๐๐ องค์) และเนื้อแก่น้ำมัน (ประมาณ ๒,๕๐๐ องค์) ซึ่งมีจำนวนน้อยและหายาก

หลวงพ่ออุ้นได้นำพระสมเด็จเหม็นทั้งหมดมาประกอบพิธีปลุกเสกอย่างเข้มขลังตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๗ เรื่อยมาจนถึงปี พ.ศ. ๒๕๐๕ ใช้ระยะเวลาในการปลุกเสกยาวนานถึง ๘ ปี ก่อนจะนำออกแจกจ่ายให้ลูกศิษย์ลูกหาและผู้มีจิตศรัทธา ซึ่งผู้ที่นำไปอาราธนาพกพาติดตัวต่างประจักษ์ในพุทธคุณด้านต่างๆ นำมาซึ่งประสบการณ์ที่เป็นที่เล่าขานสืบมา

ในช่วงบั้นปลายชีวิต หลวงพ่ออุ้นได้อาพาธด้วยโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง และมรณภาพอย่างสงบ ณ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ กรุงเทพฯ ในวันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ สิริอายุ ๙๔ ปี แม้สังขารท่านจะจากไปแล้ว แต่คุณงามความดีและวัตถุมงคลที่ท่านสร้างยังคงเป็นที่เคารพศรัทธาและเล่าขานถึงพุทธคุณมิเสื่อมคลาย

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *