เปิดตำนาน หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า: เกจิดังคู่บารมี ‘เสด็จเตี่ย’ และที่มา ‘พระปิดตาพุงป่อง’
ในแวดวงพระเครื่องและพุทธคุณ ชื่อของ “พระครูวิมลคุณากร” หรือที่รู้จักกันในนาม “หลวงปู่ศุข เกสโร” แห่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท ถือเป็นตำนานที่ยังคงเล่าขานมาจนถึงทุกวันนี้ ท่านได้รับการยกย่องให้เป็น “เจ้าสำนักทางพุทธาคมยิ่งใหญ่แห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา” ด้วยพุทธาคมอันแก่กล้า
ความผูกพันที่สำคัญยิ่งของหลวงปู่ศุข คือการเป็นพระอาจารย์ทางพุทธาคมรูปแรกของ พลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ หรือที่คนไทยคุ้นเคยในนาม “เสด็จเตี่ย” ซึ่งทรงให้ความเคารพและใกล้ชิดกับหลวงปู่ศุขเป็นอย่างมาก ดังปรากฏหลักฐานและเรื่องเล่ามากมาย
ประวัติและชีวิตวัยเยาว์
หลวงปู่ศุข มีนามเดิมว่า ศุข เกิดในสกุล เกศเวช (ภายหลังใช้เป็น เกศเวชสุริยา) เมื่อปี พ.ศ.2390 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ณ บ้านมะขามเฒ่า (ปัจจุบันคือ บ้านปากคลอง) ตำบลมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท บิดาชื่อนายน่วม มารดาชื่อนางทองดี ครอบครัวประกอบอาชีพค้าขายและทำสวน ท่านเป็นบุตรคนโตในจำนวนพี่น้อง 9 คน
ในวัยเด็ก หลวงปู่ศุขมีลักษณะเป็นคนกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว และมีความเป็นผู้นำ ทำให้มักได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้ากลุ่มเด็กในย่านตลาดวัดสิงห์อยู่เสมอ
เส้นทางการศึกษาและออกบวช
เมื่อเติบโตขึ้น ท่านได้เดินทางเข้าสู่กรุงเทพมหานคร เพื่อประกอบอาชีพค้าขายเล็กๆ น้อยๆ แถบลำคลองบางเขน จังหวัดนนทบุรี ที่นี่เอง ท่านได้มีครอบครัวและมีบุตรชายหนึ่งคน ชื่อ สอน เกศเวชสุริยา
ต่อมาเมื่ออายุครบ 22 ปี ท่านได้ตัดสินใจละทางโลก เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ โดยอุปสมบท ณ วัดโพธิ์บางเขน (ปัจจุบันคือวัดโพธิ์ทองล่าง) จังหวัดนนทบุรี มี หลวงพ่อเชย จันทสิริ เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ทองล่าง เป็นพระอุปัชฌาย์ ซึ่งหลวงพ่อเชยท่านเป็นพระสงฆ์ฝ่ายรามัญที่มีวัตรปฏิบัติเคร่งครัด ทรงคุณด้านวิปัสสนาธุระและวิทยาคม หลวงปู่ศุขได้รับการถ่ายทอดสรรพวิชาต่างๆ จากพระอุปัชฌาย์รูปนี้อย่างเต็มที่
หลังจากนั้น ท่านได้เริ่มออกธุดงค์ เพื่อปลีกวิเวกฝึกฝนวิชาที่ได้เล่าเรียนมา และแสวงหาความรู้เพิ่มเติมจากพระเกจิอาจารย์ผู้ทรงคุณหลายรูป อาทิ พระสังวราเมฆ ผู้เชี่ยวชาญพระกัมมัฏฐานลำดับมัชฌิมาปฏิปทาแห่งสำนักวัดพลับ (วัดราชสิทธาราม) และ หลวงปู่ทับ วัดอนงคาราม ผู้เชี่ยวชาญด้านการเล่นแร่แปรธาตุและโลหะเมฆสิทธิ์ ซึ่งในช่วงที่ศึกษาอยู่กับหลวงปู่ทับ ท่านได้พักอาศัยอยู่กับ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (นวม) ผู้เป็นสหธรรมิกและชาวชัยนาทด้วยกัน การธุดงค์และเรียนรู้จากครูบาอาจารย์ต่างสายนี้ ทำให้หลวงปู่ศุขมีความรอบรู้และแตกฉานทั้งพระไตรปิฎก วิปัสสนากัมมัฏฐาน และวิทยาคมต่างๆ อย่างแท้จริง
กลับสู่ชัยนาทและสร้างวัดปากคลองมะขามเฒ่า
เมื่อเวลาล่วงเลยไป มารดาของท่านที่พำนักอยู่ที่บ้านมะขามเฒ่าเริ่มชราภาพลง ด้วยความกตัญญู หลวงปู่ศุขจึงตัดสินใจเดินทางกลับมาจำพรรษา ณ วัดอู่ทอง ปากคลองมะขามเฒ่า ก่อนจะขยับขยายออกมาสร้างวัดใหม่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งก็คือ วัดปากคลองมะขามเฒ่า ในปัจจุบัน การสร้างวัดแห่งนี้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยดีและได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อปี พ.ศ.2447 โดยมีลูกศิษย์คนสำคัญอย่างเสด็จในกรมฯ เป็นกำลังสำคัญในการอุปถัมภ์ช่วยเหลือ
หลักฐานความผูกพันระหว่างหลวงปู่ศุขกับกรมหลวงชุมพรฯ ที่ยังคงปรากฏให้เห็น คือ ภาพเขียนฝีพระหัตถ์ของเสด็จในกรมฯ บนฝาผนังพระอุโบสถ และภาพเขียนสีน้ำมันรูปหลวงปู่ศุขยืนเต็มองค์ถือไม้เท้า ซึ่งยังคงได้รับการดูแลรักษาไว้อย่างสมบูรณ์ ณ วัดปากคลองมะขามเฒ่า
สมณศักดิ์และมรณภาพ
หลวงปู่ศุขได้รับสมณศักดิ์สุดท้ายเป็น พระครูวิมลคุณากร ตำแหน่งเจ้าคณะแขวง (ปัจจุบันคือ เจ้าคณะอำเภอ) เป็นองค์แรกของอำเภอวัดสิงห์ ท่านได้ปฏิบัติศาสนกิจและสงเคราะห์ศิษยานุศิษย์นานัปการ จนกระทั่งมรณภาพในปลายปี พ.ศ.2466 สิริอายุได้ 75 ปี พรรษา 50
พระปิดตาพุงป่อง: วัตถุมงคลในตำนาน
หนึ่งในวัตถุมงคลที่โดดเด่นและเป็นที่นิยมอย่างสูงของหลวงปู่ศุข คือ “พระปิดตาพุงป่อง” สันนิษฐานว่าจัดสร้างขึ้นในช่วงปี พ.ศ.2460-2463 เพื่อนำไปแจกในงานฌาปนกิจโยมมารดาของท่านเมื่อปี พ.ศ.2463 ว่ากันว่าพระปิดตารุ่นนี้มีพุทธคุณเป็นเลิศทั้งด้าน เมตตามหานิยม และ มหาอุด เท่าที่พบส่วนใหญ่เป็นเนื้อผงคลุกรัก
มวลสารที่ใช้ในการสร้าง ตามคำบอกเล่าสืบต่อกันมา ประกอบด้วยผงพุทธคุณ, เกสรดอกไม้ร้อยแปด, ผงวิเศษจากการเขียนอักขระเลขยันต์, ดินโป่งที่พลีเอามาจากดงดิบ และวัสดุอาถรรพณ์อื่นๆ อีกมากมาย นำมาคลุกเคล้าโดยใช้น้ำรักเป็นตัวประสาน ด้วยวิธีการบดส่วนผสมที่ไม่ค่อยละเอียดนัก ทำให้เมื่อส่องด้วยแว่นขยายจะสามารถสังเกตเห็นมวลสารหยาบๆ ผสมอยู่ ซึ่งเป็นจุดพิจารณาสำคัญอย่างหนึ่ง สีขององค์พระมีตั้งแต่สีน้ำตาลไหม้ไปจนถึงสีดำ
ลักษณะขององค์พระปิดตาพุงป่อง มีขนาดกว้างและสูงประมาณ 1.6 เซนติเมตร สันนิษฐานว่าแกะพิมพ์โดยช่างท้องถิ่น ทำให้ขาดความประณีตคมชัดเมื่อเทียบกับงานช่างหลวง องค์พระประทับนั่งขัดสมาธิราบ ยกพระหัตถ์ขึ้นปิดพระพักตร์เพียงคู่เดียว มองเห็นส่วนพระเศียรเป็นเส้นนูน พระพาหามีกล้ามเนื้อส่วนบนชัดเจน ส่วนพระชานุ (หัวเข่า) เป็นปมใหญ่แล้วค่อยๆ ขมวดเรียวเล็กลง จุดเด่นที่เห็นได้ชัดคือส่วนพระอุทร (ท้อง) ที่นูนใหญ่ อันเป็นที่มาของชื่อ “พุงป่อง”
นอกจากนี้ ยังมีเส้นกรอบโดยรอบที่วาดเว้าไปตามสัดส่วนขององค์พระ ด้านหลังส่วนใหญ่จะเป็นรอยกดพิมพ์ ซึ่งอาจโค้งเป็นแบบหลังเบี้ยเล็กน้อยหรือเป็นรอยกดธรรมดา บางองค์มีการจารอักขระไว้แต่พบน้อยมาก ปัจจุบัน พระปิดตาพุงป่องหลวงปู่ศุขยังคงเป็นที่เสาะหาและได้รับความนิยมจากนักสะสมและผู้ศรัทธาอย่างต่อเนื่อง