เกษตรกรลำพูนวิกฤต! จำใจเท ‘น้ำนมดิบ’ ทิ้งหลายตัน พิษนมผงนำเข้า-ความต้องการลด หวั่นไร้ทางออก
ลำพูน – เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในพื้นที่อำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน กำลังเผชิญวิกฤตหนัก ต้องจำใจเท ‘น้ำนมดิบ’ คุณภาพดีทิ้งเป็นจำนวนมาก หลังบริษัทเอกชนคู่สัญญาหยุดรับซื้อ หวั่นปัญหาน้ำนมดิบล้นตลาดจะส่งผลกระทบต่อรายได้และความเป็นอยู่
นายชาติชาย จันต๊ะเหล็ก อายุ 37 ปี เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในตำบลทาปลาดุก อำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน หนึ่งในสมาชิกจำนวน 32 รายของสหกรณ์โคนมแม่ทา เปิดเผยถึงสถานการณ์ความยากลำบากที่กำลังเผชิญอยู่ว่า ตนเองได้ลงทุนในการเลี้ยงโคนมไปแล้วกว่า 5 ล้านบาท และประกอบอาชีพนี้มาเป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 7 ปี โดยก่อนหน้านี้ สามารถขายน้ำนมดิบให้กับสหกรณ์ได้ในราคากิโลกรัมละ 22 บาท ซึ่งเป็นรายได้หลักในการดำเนินชีวิตและเลี้ยงดูครอบครัว
อย่างไรก็ตาม ปัญหาได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ เมื่อบริษัทเอกชนรายใหญ่ในจังหวัดสระบุรี ซึ่งเป็นผู้รับซื้อน้ำนมดิบรายหลักจากสหกรณ์โคนมแม่ทา ได้แจ้งยุติการรับซื้อ ทำให้สหกรณ์ฯ ไม่สามารถระบายน้ำนมดิบที่รับซื้อมาจากเกษตรกรสมาชิกได้เหมือนเดิม
นายชาติชายกล่าวด้วยความกังวลว่า เมื่อน้ำนมดิบที่ผลิตได้ไม่สามารถส่งขายได้และไม่มีพื้นที่จัดเก็บที่เพียงพอหรือไม่ได้รับการดูแลในห้องเย็นที่มีมาตรฐาน น้ำนมดิบเหล่านั้นก็จะเน่าเสียอย่างรวดเร็ว โดยทั่วไป น้ำนมดิบที่ไม่ได้เก็บในอุณหภูมิที่เหมาะสมจะเสียภายในเวลาเพียงประมาณ 2 ชั่วโมง ทำให้ทางสหกรณ์ฯ และเกษตรกรไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องจำใจเทน้ำนมดิบทิ้งไป ซึ่งแต่ละครั้งเป็นจำนวนหลายตัน สร้างความเสียหายและเสียดายเป็นอย่างมาก
สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงเมื่อสหกรณ์โคนมแม่ทาได้ประกาศจะปิดรับซื้อน้ำนมดิบจากเกษตรกรสมาชิกทั้งหมดตั้งแต่วันที่ 29 เมษายนนี้เป็นต้นไป ทำให้เกษตรกรจำนวนมากต้องแบกรับภาระน้ำนมดิบที่ผลิตได้โดยไม่มีแหล่งรับซื้อ
ในระหว่างนี้ ทางสหกรณ์โคนมแม่ทาได้มีการแจกจ่ายน้ำนมดิบฟรีให้กับผู้ที่สนใจ โดยขอให้นำภาชนะมาใส่เอง แต่ นายชาติชาย ได้เน้นย้ำว่า น้ำนมดิบที่แจกจ่ายในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่สามารถนำไปบริโภคสำหรับมนุษย์ได้แล้ว เนื่องจากอาจมีปัญหาเรื่องคุณภาพและสุขอนามัย แต่ยังพอสามารถนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้ เช่น การนำไปทำปุ๋ยอินทรีย์สำหรับพืช
แหล่งข่าวในพื้นที่ระบุถึงสาเหตุหลักที่ทำให้บริษัทเอกชนยุติการรับซื้อว่า มาจากหลายปัจจัยรวมกัน ประการแรก คือ พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยหันไปใช้นมผงนำเข้าจากต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งอาจมีราคาถูกกว่าหรือเข้าถึงง่ายกว่า ประการที่สอง คือ ช่วงเวลาปัจจุบันเป็นช่วงปิดภาคเรียน ส่งผลให้ความต้องการใช้นมสำหรับโครงการนมโรงเรียนลดลงอย่างมาก ทำให้บริษัทผู้ผลิตนมโรงเรียนลดปริมาณการผลิตลงตามไปด้วย ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมโคนมและก่อให้เกิดปัญหาน้ำนมดิบล้นตลาดในที่สุด
วิกฤตครั้งนี้กำลังสร้างความเดือดร้อนอย่างหนักให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในพื้นที่ลำพูน และต้องการการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาทางออกและป้องกันไม่ให้เกษตรกรต้องประสบภาวะขาดทุนและหนี้สินจากอาชีพที่ลงทุนลงแรงไป