กรุงไทยชี้เทรดวอร์ทำไทยสูญโอกาส 1.6 ล้านล้านบาท คาดจีดีพีปี 68 ดิ่งเหลือ 0.7% หากเจอผลกระทบเต็มรูปแบบ
กรุงไทยชี้เทรดวอร์ทำไทยสูญโอกาส 1.6 ล้านล้านบาท คาดจีดีพีปี 68 ดิ่งเหลือ 0.7% หากเจอผลกระทบเต็มรูปแบบ
กรุงเทพฯ – ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ของธนาคารกรุงไทย ได้เปิดเผยผลการวิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย โดยระบุว่า เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายและความไม่แน่นอนในระดับสูง จากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศหลัก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งมีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผลให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ต้องปรับลดการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจลงอย่างมีนัยสำคัญ และใช้การนำเสนอช่วงของการคาดการณ์แทนการคาดการณ์เดียวแบบในอดีต
IMF ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจโลกและไทย
ตามรายงาน IMF’s World Economic Outlook (WEO) ฉบับเดือนเมษายน 2568 IMF ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2568 ลงเหลือ 2.8% จากเดิม 3.3% และคาดการณ์ปริมาณการค้าโลกจะเติบโตเพียง 1.7% จากเดิม 4.2% สะท้อนถึงผลกระทบโดยตรงจากสงครามการค้า สำหรับประเทศไทย IMF ได้ปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2568 ลงจาก 2.9% เหลือ 1.8% นอกจากนี้ IMF ยังประเมินโอกาสที่เศรษฐกิจโลกจะเติบโตต่ำกว่า 2% ในปี 2568 อยู่ที่เกือบ 30% ซึ่งสูงขึ้นกว่าการประเมินก่อนหน้า
Krungthai COMPASS ประเมิน 2 สถานการณ์กระทบเศรษฐกิจไทยปี 2568
Krungthai COMPASS ได้ประเมินผลกระทบของสงครามการค้าต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2568 โดยแบ่งเป็น 2 สถานการณ์หลัก:
- Scenario 1 (S1): ไทยถูกเก็บภาษี 10% (universal tariff) ตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2568 และ Sectoral tariff ในกลุ่มยานยนต์ ชิ้นส่วน และเหล็ก โดยกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ได้รับการยกเว้น ในสถานการณ์นี้ คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ที่ 2.0% ซึ่งลดลงจากการประมาณการเดิมที่ 2.7%
- Scenario 2 (S2): ไทยถูกเก็บภาษี 10% (universal tariff) และได้รับผลกระทบเต็มรูปแบบจาก reciprocal tariff ที่ 36% ในช่วงครึ่งปีหลัง นอกจากนี้ Sectoral tariff จะถูกเก็บในกลุ่มยานยนต์ ชิ้นส่วน เหล็ก ตั้งแต่ไตรมาส 2 และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่ไตรมาส 3 ในสถานการณ์นี้ คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้เพียง 0.7% ซึ่งลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
การประเมินนี้สอดคล้องกับมุมมองของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่มองว่าเศรษฐกิจในระยะข้างหน้ามีความเสี่ยงสูงขึ้น จึงตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงสู่ระดับ 1.75% โดย กนง. คาดการณ์ว่า หากผลกระทบปานกลาง เศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 2.0% และหากผลกระทบรุนแรง เศรษฐกิจอาจขยายตัวได้เพียง 1.3%
ผลกระทบระยะยาว: ‘แผลเป็นทางเศรษฐกิจ’ และความเสี่ยงของ SMEs
Krungthai COMPASS ชี้ว่า แม้ผลกระทบจากสงครามการค้าจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป (slow burn) แต่ยังคงส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อ GDP ไทยในปี 2568 โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งเศรษฐกิจอาจชะลอตัวแรงจนมีความเสี่ยงเกิดภาวะถดถอยทางเทคนิค (technical recession) นอกจากผลกระทบระยะสั้นต่อการส่งออกและการลงทุนที่อาจชะลอตัวแล้ว ยังมีผลกระทบระยะกลางและระยะยาวที่ต้องเตรียมรับมือ:
- แผลเป็นทางเศรษฐกิจ (Economic Scarring): คล้ายกับช่วงวิกฤติโควิด-19 ที่ต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัว สงครามการค้าครั้งนี้ทำให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจสูง Krungthai COMPASS ประเมินว่า ในระยะ 5 ปีข้างหน้า เศรษฐกิจไทยอาจสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจมูลค่ารวมกว่า 1.6 ล้านล้านบาท เมื่อเทียบกับการคาดการณ์ก่อนหน้าที่จะมีผลกระทบจากสงครามการค้า
- ผลกระทบต่อ SMEs: ธุรกิจ SMEs ไทยจะได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของสินค้าที่ถูกเก็บภาษี จากข้อมูล ธปท. คาดว่ามี SMEs ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงกว่า 4,990 ราย คิดเป็นมูลค่าเพิ่มจากการส่งออกประมาณ 2.2% ของ GDP SMEs กลุ่มนี้จะเผชิญอัตราภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นจากเฉลี่ย 1.7% เป็น 9.3% โดยเฉพาะกลุ่มที่ส่งออกยานยนต์ ชิ้นส่วน เหล็ก และอลูมิเนียม รวมถึงสินค้าหลากหลายประเภทที่ได้รับผลกระทบจาก reciprocal tariff เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักร และสินค้าเกษตร SMEs ที่พึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ สูง และมี Profit margin ต่ำ เช่น กุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง อาหารสำเร็จรูปสำหรับสัตว์เลี้ยง และบรรจุภัณฑ์พลาสติก มีความเสี่ยงสูง โดย สสว. คาดการณ์ว่ามูลค่าส่งออก SMEs ไปสหรัฐฯ ปี 2568 อาจลดลงได้ถึง 38,300 ล้านบาท
มาตรการรับมือและโอกาสเชิงยุทธศาสตร์
Krungthai COMPASS ย้ำว่า สงครามการค้าเป็นความเสี่ยงเร่งด่วนที่คล้ายคลึงกับวิกฤตโควิด-19 แต่มีลักษณะผลกระทบที่แตกต่างกัน จึงควรเร่งออกมาตรการรับมือ อาทิ ป้องกันการใช้ไทยเป็นฐานส่งออกสินค้าของประเทศที่ถูกเก็บภาษี (transshipment) คุ้มครองตลาดในประเทศจากสินค้าต่างชาติที่ทะลักเข้ามา และสนับสนุนสภาพคล่องและการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ
นอกจากนี้ ประเทศไทยควรมองวิกฤตนี้เป็นโอกาสในการปรับเปลี่ยนเชิงยุทธศาสตร์เพื่อยกระดับเศรษฐกิจในระยะยาว ได้แก่ การยกระดับตำแหน่งในห่วงโซ่มูลค่าโลกโดยผลักดันให้ไทยเป็นฐานการผลิตทางเลือก การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันผ่านการยกระดับทักษะแรงงาน พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม การขยายตลาดและพันธมิตรการค้าใหม่ๆ และการเร่งรัดการเจรจา FTA รวมถึงการรับมือกับความท้าทายจากจีนโดยเน้นการค้าที่เป็นธรรมและเสรี (free and fair trade)