Krungthai COMPASS เตือน ‘ศึกภาษีทรัมป์’ ส่อสร้าง ‘แผลเป็นเศรษฐกิจไทย’ คาด GDP ปี 68 เหลือ 0.7% SMEs กว่า 4,900 รายรับผลกระทบหนัก
กรุงเทพฯ – Krungthai COMPASS หน่วยงานวิเคราะห์ข้อมูลของธนาคารกรุงไทย ได้เปิดเผยบทวิเคราะห์ล่าสุดภายใต้ชื่อ “The Slow-Motion Crisis สงครามภาษีเขย่าเศรษฐกิจไทย” ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้นของเศรษฐกิจไทยจากผลพวงของความตึงเครียดทางการค้าที่ขยายวงกว้าง โดยเฉพาะจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่ส่งผลกระทบต่อคู่ค้าสำคัญทั่วโลก
นายกฤษฏิ์ ศรีปราชญ์ นักวิเคราะห์ Krungthai COMPASS ระบุว่า สถานการณ์ดังกล่าวทำให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ได้ปรับลดการคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2568 ลงอย่างมีนัยสำคัญ จากเดิม 3.3% เหลือเพียง 2.8% และมองว่าความไม่แน่นอนทางการค้ากำลังปรับเปลี่ยนระบบการค้าโลกและเพิ่มความเปราะบางทางเศรษฐกิจ
สำหรับประเทศไทย Krungthai COMPASS ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ลงจากเดิมที่คาดไว้ 2.7% โดยประเมินสถานการณ์ผลกระทบออกเป็น 2 กรณี:
- กรณีผลกระทบปานกลาง: หากไทยถูกเก็บภาษี universal tariff 10% และ sectoral tariff เฉพาะกลุ่มยานยนต์และเหล็ก เศรษฐกิจไทยอาจขยายตัวได้เพียง 2%
- กรณีผลกระทบรุนแรง: หากไทยได้รับผลกระทบเต็มรูปแบบจาก reciprocal tariff 36% รวมถึง sectoral tariff ครอบคลุมถึงกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เศรษฐกิจไทยอาจเติบโตเหลือเพียง 0.7% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำมาก
บทวิเคราะห์ยังชี้ให้เห็นถึงผลกระทบในระยะยาวในรูปแบบของ “แผลเป็นทางเศรษฐกิจ” หรือ Economic Scar ที่อาจทำให้ไทยสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจในช่วง 5 ปีข้างหน้า มูลค่าสูงถึงกว่า 1.6 ล้านล้านบาท เทียบเคียงได้กับช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่เศรษฐกิจต้องใช้เวลานานกว่าจะฟื้นตัว
นอกจากนี้ ผลกระทบโดยตรงที่น่ากังวลคือต่อกลุ่มธุรกิจ SMEs ไทย จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่า มี SMEs กว่า 4,990 ราย หรือคิดเป็นมูลค่าเพิ่มจากการส่งออกประมาณ 2.2% ของ GDP ที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการภาษีเพิ่มเติมของสหรัฐฯ โดยอัตราภาษีนำเข้าเฉลี่ยที่ SMEs ไทยกลุ่มนี้ต้องเผชิญอาจเพิ่มขึ้นจาก 1.7% เป็น 9.3%
กลุ่ม SMEs ที่ได้รับผลกระทบหนักได้แก่ กลุ่มที่ส่งออกสินค้าในภาคส่วนยานยนต์และชิ้นส่วน เหล็ก อลูมิเนียม และเครื่องใช้ไฟฟ้า รวมถึงสินค้าเฉพาะทาง เช่น กุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูป อาหารสำเร็จรูปสำหรับสัตว์เลี้ยง และบรรจุภัณฑ์พลาสติก ซึ่งสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) คาดว่ามูลค่าส่งออกของ SMEs ไปยังสหรัฐฯ ปี 2568 อาจลดลงได้ถึง 38,300 ล้านบาท
Krungthai COMPASS มองว่า แม้ผลกระทบจากสงครามการค้าจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป (Slow Burn) ต่างจากวิกฤตโควิด-19 ที่เป็นแบบฉับพลัน แต่ก็เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ประเทศไทยต้องใช้เป็นโอกาสในการปรับเปลี่ยนเชิงยุทธศาสตร์เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนในอนาคต ได้แก่ การยกระดับตำแหน่งในห่วงโซ่มูลค่าโลก การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน การขยายตลาดและพันธมิตรการค้า รวมถึงการปรับสมดุลการค้ากับจีน
บทสรุปคือ สงครามการค้าครั้งนี้ไม่ใช่เพียงภาวะวิกฤตที่ต้องเยียวยาชั่วคราว แต่เป็นความท้าทายเชิงโครงสร้างที่เรียกร้องให้ธุรกิจไทยและภาครัฐต้องร่วมกันวางแผนและปรับตัวเพื่อความยั่งยืนในระยะยาวในบริบทเศรษฐกิจโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว