กรุงเทพฯ – ธนาคารกรุงไทย ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงสูงสุด 0.15% ต่อปี พร้อมทั้งปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก เพื่อช่วยเหลือลูกค้าประชาชนและภาคธุรกิจในการลดภาระทางการเงิน ท่ามกลางแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ยังคงเผชิญความไม่แน่นอนสูง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้ายังคงมีความท้าทายและความไม่แน่นอนสูง ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบจากนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก และมาตรการตอบโต้ทางการค้า ซึ่งส่งผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อเป็นการบรรเทาภาระทางการเงินของลูกค้าทุกกลุ่ม และสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ธนาคารจึงได้ตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในครั้งนี้

การปรับลดอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว มีรายละเอียดดังนี้:

• อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) ปรับลดลงจากปัจจุบัน 7.020% ต่อปี เหลือ 6.870% ต่อปี (ลดลง 0.15%)
• อัตราดอกเบี้ยเงินลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ปรับลดลงจากปัจจุบัน 6.825% ต่อปี เหลือ 6.750% ต่อปี (ลดลง 0.075%)
• อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) ปรับลดลงจากปัจจุบัน 7.345% ต่อปี เหลือ 7.295% ต่อปี (ลดลง 0.05%)
• อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ปรับลดลงในอัตรา 0.075% – 0.20% ต่อปี

นายผยง กล่าวย้ำว่า ธนาคารให้ความสำคัญกับการดูแลและช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ลูกค้าสามารถปรับตัวและพลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้ในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยก่อนหน้านี้ ธนาคารได้ออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติต่างๆ อาทิ เหตุการณ์แผ่นดินไหว และอุทกภัย

นอกจากนี้ ธนาคารยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งเป็นวาระสำคัญของประเทศ ผ่านโครงการต่างๆ เช่น สินเชื่อรวมหนี้ข้าราชการยั่งยืน, สินเชื่อกรุงไทยรวมหนี้ (ภาคประชาชน) และสินเชื่อกรุงไทยบ้านแลกเงิน ซึ่งสินเชื่อเหล่านี้มีจุดเด่นคืออัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ ช่วยลดภาระดอกเบี้ย เพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน และอำนวยความสะดวกในการดำรงชีวิตให้กับลูกค้า ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) ของธนาคารแห่งประเทศไทย

ล่าสุด ธนาคารได้ขยายระยะเวลามาตรการ “คุณสู้ เราช่วย” ออกไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มเปราะบาง ทั้งลูกค้ารายย่อยและลูกค้า SME ที่ยังคงต้องการการสนับสนุน ให้สามารถประคับประคองธุรกิจและชีวิตให้อยู่รอด และเติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืน