ตรัง – นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์มุ่งมั่นยกระดับเศรษฐกิจบนพื้นฐานแห่งอัตลักษณ์และภูมิปัญญาไทย โดยการขึ้นทะเบียนและการคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือ GI ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจฐานราก รวมถึงสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าชุมชนผ่านเอกลักษณ์เฉพาะตัวของสินค้า

ล่าสุด กรมทรัพย์สินทางปัญญา ได้ประกาศขึ้นทะเบียน ‘แตงโมเกาะสุกร’ เป็นสินค้า GI ลำดับที่ 4 ของจังหวัดตรัง อย่างเป็นทางการ ต่อจากสินค้าขึ้นชื่อเดิมที่ได้รับการขึ้นทะเบียนไปแล้ว ได้แก่ หมูย่างเมืองตรัง พริกไทยตรัง และข้าวเบายอดม่วงตรัง

แตงโมเกาะสุกร มีเรื่องราวความเป็นมาที่น่าสนใจ เดิมเกาะแห่งนี้มีหมูป่าอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อมีชาวประมงเข้ามาอาศัย หมูป่าก็ได้ย้ายถิ่นฐานไป ชาวบ้านที่อยู่บนฝั่งพบเห็นฝูงหมูป่าว่ายน้ำบริเวณเกาะ จึงเรียกชื่อเกาะว่า ‘เกาะหมู’ ก่อนจะเปลี่ยนชื่อมาเป็น ‘เกาะสุกร’ ในที่สุด สำหรับเมล็ดพันธุ์แตงโมนั้น ชาวบ้านบนเกาะเล่าสืบกันมาว่า ได้รับมาจากกัปตันเรือชาวจีนที่เดินทางผ่านมาและแวะพักหลบมรสุม และเมื่อเดินทางกลับมาอีกครั้ง ก็ได้นำเมล็ดแตงโมมามอบให้ชาวบ้านเพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจ

พื้นที่เกาะสุกร ตั้งอยู่ในอำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง เป็นเกาะกลางทะเลอันดามันในมหาสมุทรอินเดีย ลักษณะดินเป็นดินร่วนปนทราย ซึ่งสามารถระบายน้ำได้ดีเยี่ยม ทั้งยังมีธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของแตงโมสูง ประกอบกับการได้รับอิทธิพลของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้จากมหาสมุทรอินเดีย และลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือจากอ่าวไทย ผสมผสานกับวิถีเกษตรกรที่สืบทอดภูมิปัญญาในการปลูกแตงโมบนชายหาด ซึ่งแตกต่างจากพื้นที่ปลูกแตงโมทั่วไป

ปัจจัยทางภูมิศาสตร์และภูมิปัญญาท้องถิ่นนี้เอง ส่งผลให้แตงโมเกาะสุกรมีลักษณะเด่นเฉพาะตัว คือ มีสีเปลือกอ่อนกว่าแตงโมพันธุ์เดียวกันที่ปลูกในพื้นที่อื่น ทำให้เห็นลวดลายบนเปลือกชัดเจนขึ้น เนื้อแตงโมมีทั้งสีแดง สีส้ม และสีเหลือง ที่สำคัญคือมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ หวาน กรอบ ชุ่มฉ่ำ

การขึ้นทะเบียน GI ในครั้งนี้ จะยิ่งส่งเสริมให้แตงโมเกาะสุกรมีชื่อเสียงมากยิ่งขึ้น เป็นที่รู้จักในวงกว้าง และถือเป็นสินค้าสำคัญที่ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดตรังได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญคือสามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับเกษตรกรในชุมชนเกาะสุกรได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยปัจจุบันสร้างรายได้รวมกว่า 27 ล้านบาทต่อปี

นับเป็นการตอกย้ำความสำเร็จของนโยบายกระทรวงพาณิชย์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากด้วย GI ปัจจุบันมีสินค้าที่ได้รับการขึ้นทะเบียน GI จากกรมทรัพย์สินทางปัญญา ครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมกว่า 77,777 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของสินค้าอัตลักษณ์ไทยในการสร้างงานสร้างรายได้ให้กับพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ.