ค้านปลุกผี ‘เหมืองปรองดี้’ กลางทุ่งใหญ่นเรศวร: ผอ.ศูนย์กะเหรี่ยงยันแร่หมดแล้ว ชี้ปัญหาจริงคือ ‘คลิตี้’ ยังปนเปื้อน

กาญจนบุรี – นายสุรพงษ์ กองจันทึก ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงและพัฒนา แสดงความไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งต่อแนวคิดของคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา ที่หยิบยกประเด็นการจัดการแร่ตะกั่วที่อ้างว่าคงค้างอยู่ที่เหมืองปรองดี้ กลางเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร โดยนายสุรพงษ์ยืนยันว่าแร่ของกลางดังกล่าวถูกขนออกไปจนหมดนานแล้ว และปัญหาเร่งด่วนที่ควรได้รับการแก้ไขคือมลพิษที่ยังคงอยู่ในลำห้วยคลิตี้ ซึ่งเป็นผลกระทบโดยตรงจากการทำเหมืองแร่ในอดีต และส่งผลกระทบต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

ประเด็นนี้ถูกจุดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยนายชีวะภาพ ชีวะธรรม ประธานคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา ได้กล่าวถึงการประชุมเพื่อหาแนวทางจัดการแร่ตะกั่วจากเหมืองปรองดี้ที่อ้างว่ามีเหลืออยู่ 3,510 ตัน โดยให้เหตุผลว่าหากปล่อยทิ้งไว้จะมีการขนไปยังประเทศเพื่อนบ้านและอาจเกิดอันตรายจากการรั่วไหล

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 นายสุรพงษ์ กองจันทึก ได้ออกมาโต้แย้งข้อกล่าวอ้างดังกล่าวอย่างชัดเจน โดยระบุว่าข้อมูลที่ว่ายังมีแร่ตะกั่วเหลืออยู่ที่เหมืองปรองดี้นั้นไม่เป็นความจริง แร่ของกลางที่เคยยึดได้นั้นถูกนำออกไปหมดแล้วตั้งแต่ปี 2545 หลังจากมีมติคณะรัฐมนตรี 4 กระทรวง ให้ยุติกิจกรรมเหมืองแร่ทั้งหมดโดยรอบเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร

นายสุรพงษ์กล่าวว่า กรณีเหมืองแร่ในพื้นที่รอบทุ่งใหญ่นเรศวร ทั้งเหมืองแร่เถื่อนปรองดี้ เหมืองคลิตี้ และเหมืองเค็มโก้ เป็นเรื่องในอดีตที่ชัดเจนว่าผู้ประกอบการกลุ่มเดียวกันได้สร้างปัญหาโดยการปล่อยของเสียจากการแต่งแร่ลงสู่ธรรมชาติ จนนำไปสู่ความเจ็บป่วยล้มตายของชาวบ้านคลิตี้ และความเสียหายต่อลำน้ำธรรมชาติ ซึ่งเรื่องนี้มีการฟ้องร้องต่อศาลยุติธรรมและศาลปกครอง และศาลได้มีคำพิพากษาให้ผู้ประกอบการที่ก่อมลพิษชดใช้ค่าเสียหายและฟื้นฟูสภาพแวดล้อมในลำห้วยคลิตี้ให้กลับคืนดังเดิม

“น่าเสียดายที่จนถึงปัจจุบัน ผู้ประกอบการที่แพ้คดียังไม่มีการดำเนินการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ตามคำพิพากษาแต่อย่างใด” นายสุรพงษ์กล่าว

สำหรับแร่จากเหมืองแร่เถื่อนปรองดี้ นายสุรพงษ์ย้อนไปถึงเหตุการณ์ในปี 2541 ที่เจ้าหน้าที่ได้เข้าทลายเหมือง และแร่ของกลางที่ยึดได้จำนวน 5,275 ตันนั้น กรมทรัพยากรธรณีได้เปิดประมูลขายไปในราคาเพียงกิโลกรัมละ 24 สตางค์ โดยผู้ที่ประมูลได้ก็คือกลุ่มเดียวกับที่ทำเหมืองในพื้นที่ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแร่เถื่อนให้ถูกกฎหมายในราคาถูกที่สุด และมีการขนแร่ทั้งหมดออกไปจากพื้นที่แล้ว

นายสุรพงษ์ยืนยันว่า ไม่มีข้อเท็จจริงที่สนับสนุนว่ายังมีแร่เหลือหรือจะมีการลักลอบขนไปยังประเทศเพื่อนบ้านตามที่กล่าวอ้าง อีกทั้งไม่มีข้อมูลการรั่วไหลหรืออันตรายใดๆ ในปัจจุบัน การกล่าวอ้างดังกล่าวเป็นเพียงการกล่าวอ้างลอยๆ ที่ไม่มีข้อเท็จจริงรองรับ และดูเหมือนจะเป็นการปูทางเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับแร่ตะกั่วอีกครั้งในพื้นที่

ในทางตรงกันข้าม นายสุรพงษ์ชี้ว่าสิ่งที่คณะกรรมาธิการฯ ควรให้ความสำคัญอย่างเร่งด่วนคือสถานการณ์มลพิษในลำห้วยคลิตี้ ซึ่งน้ำยังคงเต็มไปด้วยสารพิษและไหลลงสู่แม่น้ำแม่กลองอย่างต่อเนื่อง ซึ่งน้ำจากแม่น้ำแม่กลองนี้ถูกนำไปใช้เป็นน้ำประปาสำหรับประชาชนในกรุงเทพมหานครฝั่งธนบุรีและจังหวัดใกล้เคียง และส่วนที่เหลือก็ไหลลงสู่อ่าวไทยซึ่งเป็นแหล่งอาหารสำคัญของประเทศ

“คณะกรรมาธิการควรเข้ามาตรวจสอบและกำกับดูแลการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ของกรมควบคุมมลพิษ ตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ที่สั่งให้กรมควบคุมมลพิษฟื้นฟูให้ปราศจากมลพิษดังเดิม แต่จนถึงปัจจุบันน้ำในลำห้วยคลิตี้ก็ยังเต็มไปด้วยมลพิษ และมีท่าทีว่ากรมควบคุมมลพิษจะหยุดดำเนินการฟื้นฟู” นายสุรพงษ์กล่าว

นอกจากนี้ นายสุรพงษ์ยังเรียกร้องให้คณะกรรมาธิการฯ ติดตามผู้ประกอบการที่ก่อมลพิษให้เข้ามาฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกา ซึ่งผู้ก่อมลพิษยังคงไม่แสดงความรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น

ประวัติการยุติกิจกรรมเหมืองแร่รอบทุ่งใหญ่นเรศวรนั้น มีมติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายภาคส่วน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541-2545 เช่น คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก, กรมทรัพยากรธรณี, กรมป่าไม้, กรมควบคุมมลพิษ, สำนักนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม, คณะสมาชิกวุฒิสภา, คณะกรรมาธิการการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร, คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ, สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมถึงมติคณะรัฐมนตรี 4 กระทรวง (อุตสาหกรรม, เกษตรและสหกรณ์, สาธารณสุข, วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) ซึ่งล้วนมีมติให้ยุติการทำกิจกรรมเหมืองแร่และโรงแต่งแร่โดยรอบเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรอย่างเด็ดขาด รื้อถอนเครื่องจักรและสิ่งปลูกสร้างออกจากพื้นที่ และเร่งฟื้นฟูสภาพแวดล้อม รวมถึงดูแลสุขภาพประชาชน

นายสุรพงษ์ทิ้งท้ายว่า แทนที่จะมาหยิบยกประเด็นที่ไม่ใช่ปัญหาจริงอย่างแร่ที่เหมืองปรองดี้ ซึ่งถูกขนออกไปนานแล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนควรหันมาให้ความสำคัญและเร่งแก้ไขปัญหามลพิษเรื้อรังในลำห้วยคลิตี้ ซึ่งเป็นผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนและทรัพยากรธรรมชาติอย่างมหาศาล และยังคงเป็นปัญหาที่ค้างคามาหลายปีโดยที่ผู้ก่อมลพิษยังคงลอยนวลและไม่แสดงความรับผิดชอบ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *