กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2568 ที่สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้มีการจัดพิธีจ่ายเงินช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อาคารที่ทำการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) พังถล่ม ซึ่งเหตุการณ์นี้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ โดยในครั้งนี้มีการจ่ายเงินให้กับผู้ที่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติแล้วจำนวน 21 ราย.

พิธีดังกล่าวมี พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธาน พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ อาทิ สภาทนายความ กรมสอบสวนคดีพิเศษ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ รวมถึงผู้แทนจากกิจการร่วมค้าไอทีดี-ซีอาร์อีซี (ITD-CREC Joint Venture) ซึ่งเป็นผู้มอบเงินช่วยเหลือ.

นายสุนทร พยัคฆ์ เลขาธิการสภาทนายความ เปิดเผยว่า ตามที่สภาทนายความได้ประสานความร่วมมือกับกิจการร่วมค้า ITD-CREC เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์ตึก สตง. ถล่ม เมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา ได้มีการตกลงร่วมกันว่าจะช่วยเหลือผู้เสียชีวิตรายละ 1,000,000 บาท และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บรายละ 200,000 บาท โดยเน้นย้ำว่าเงินจำนวนนี้เป็น เงินช่วยเหลือเพื่อมนุษยธรรม ไม่เกี่ยวกับคดีความใดๆ ทั้งสิ้น.

คณะทำงานของสภาทนายความได้มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมา 2 คณะ เพื่อช่วยเหลือทางกฎหมายและพิจารณาการจ่ายเงินโดยเฉพาะ ซึ่งในวันนี้ได้มีการพิจารณาและอนุมัติการจ่ายเงินให้กับทายาทผู้เสียชีวิต 12 ราย และผู้บาดเจ็บ 9 ราย รวม 21 ราย ส่วนผู้ที่เหลืออยู่ระหว่างการประสานงานและตรวจสอบเอกสาร คาดว่าจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนพฤษภาคมนี้.

ด้าน นางสาวดวงดาว เกียรติพิศาลสกุล รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กล่าวว่า กรมฯ ได้เข้ามาร่วมเป็นคณะทำงานในการพิจารณาจ่ายเงิน เพื่อช่วยตรวจสอบข้อมูลของทายาทผู้มีสิทธิ์ได้รับเงินช่วยเหลือให้ถูกต้อง ก่อนส่งมอบให้สภาทนายความดำเนินการจ่ายเงินต่อไป ส่วนในประเด็นคดีความ กรมฯ จะต้องรอผลการสอบสวนจากพนักงานสอบสวนอีกครั้งตาม พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนฯ.

ขณะที่ นายเกรียงศักดิ์ กอวัฒนา รองประธานบริษัทอาวุโส กิจการร่วมค้า ITD-CREC ได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อญาติผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ ยืนยันว่าทางกิจการร่วมค้าไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้มีการตั้งทีมประสานงานเพื่อรวบรวมข้อมูลและข้อร้องเรียนต่างๆ ตั้งแต่วันแรกที่เกิดเหตุ การที่เพิ่งมีการจ่ายเงินในวันนี้ให้กับ 21 ราย เนื่องจากข้อมูลต่างๆ ที่รวบรวมมายังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ และการจ่ายเงินครั้งนี้ต้องการให้เกิดความถูกต้อง ไม่ผิดพลาด จึงต้องใช้เวลาในการตรวจสอบ แต่ก็ยืนยันว่าจะพยายามดำเนินการให้เสร็จภายในเดือนนี้ คาดว่าสัปดาห์หน้าจะมีการยืนยันข้อมูลได้อีกชุด และจะเร่งจ่ายเงินให้กับผู้ที่ตกหล่นทั้งหมดภายในสิ้นเดือนพฤษภาคม.

นายเกรียงศักดิ์ ชี้แจงเพิ่มเติมถึงเหตุผลที่ต้องใช้เวลานานในการรวบรวมรายชื่อ เนื่องจากข้อมูลผู้ที่สูญหายกว่า 100 รายชื่อนั้น ทางนิติเวช สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพิ่งยืนยันอัตลักษณ์ได้เพียง 60 กว่าราย ซึ่งในส่วนนี้ทางกิจการร่วมค้าได้จ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นเพื่อใช้ในการทำศพไปครบแล้วทั้ง 60 กว่าราย ส่วนการจ่ายเงินช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในครั้งนี้ เป็นขั้นตอนที่สองที่ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะมีความซับซ้อนเรื่องทายาท และต้องอาศัยประสบการณ์จากกรมคุ้มครองสิทธิฯ รวมถึงการแนะนำจากกระทรวงยุติธรรมให้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณา เพื่อให้แน่ใจว่าจะจ่ายเงินให้ถูกคน หากรีบร้อนอาจเกิดข้อผิดพลาดที่แก้ไขได้ยาก.

ในส่วนของจำนวนคนงานที่ได้รับผลกระทบ นายเกรียงศักดิ์ ระบุว่า ในวันเกิดเหตุมีบริษัทผู้รับเหมาเข้ามาทำงานในไซต์งานกว่า 10 บริษัท มีคนงานทั้งหมดกว่า 300 คน ตัวเลขผู้สูญหายที่รวบรวมได้จากหลายแหล่ง (กองอำนวยการ ตร. สภาทนายความ กทม.) ล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 109 ราย ซึ่งยังคงต้องใช้เวลาในการตรวจสอบยืนยันให้แน่ใจว่าเป็นผู้สูญหายในอาคารจริงหรือไม่ โดยต้องรอผลการยืนยันจากนิติเวชเพิ่มเติม.

ตัวแทนจากบริษัทไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์10 (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจการร่วมค้า ITD-CREC ได้เสริมว่า ข้อมูลเกี่ยวกับเอกสารแบบฟอร์มการเยียวยาที่มีการเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียนั้น ขอให้ประชาชนระมัดระวัง เพราะเอกสารอย่างเป็นทางการยังไม่เคยมีการเผยแพร่ การดำเนินการทั้งหมดกำลังทำผ่านคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ แม้ว่าผลสรุปสาเหตุการถล่มอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่สิ่งที่กิจการร่วมค้ากำลังทำคือ การบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยไม่มีเจตนาหวังผลทางคดี และเงินช่วยเหลือนี้ ไม่มีผลผูกพันทางคดีใดๆ ทั้งสิ้น ผู้เสียหายและทายาทมีสิทธิที่จะฟ้องร้องต่อไปได้ตามกฎหมาย.

นอกจากนี้ ทางกิจการร่วมค้าได้มีการติดต่อพูดคุยและตกลงชดเชยค่าเสียหายให้กับผู้รับเหมาช่วงที่ได้รับผลกระทบ เช่น ค่าค้างจ่ายงาน หรืออุปกรณ์ที่เสียหายไปแล้วจำนวนหนึ่ง.