IRPC เผยผลประกอบการไตรมาส 1/2568 ขาดทุนสุทธิ 1,206 ล้านบาท ตั้ง ‘Crisis War Room’ สู้เศรษฐกิจโลกผันผวน พร้อมเดินหน้าลงทุนเมกะเทรนด์
กรุงเทพฯ – บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC หนึ่งในผู้ประกอบการอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและโรงกลั่นชั้นนำของไทย ได้เปิดเผยผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 1 ปี 2568 (มกราคม – มีนาคม) โดยบริษัทบันทึกผลขาดทุนสุทธิ 1,206 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขาดทุนที่เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2567
นายเทอดเกียรติ พร้อมมูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ IRPC กล่าวถึงผลประกอบการไตรมาสแรกว่า บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ที่ 1,596 ล้านบาท ลดลง 50% จากไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่รายได้จากการขายสุทธิอยู่ที่ 62,224 ล้านบาท ลดลง 1% หรือ 813 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากปริมาณการขายที่ลดลง 4% แม้ว่าราคาขายเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้น 3% ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นก็ตาม
สาเหตุหลักที่ส่งผลกระทบต่อผลกำไรมาจากธุรกิจหลักทั้งสองส่วน ได้แก่:
- ธุรกิจปิโตรเลียม: มีกำไรขั้นต้นจากการกลั่นตามราคาตลาด (Market Gross Refining Margin: Market GRM) ลดลง เนื่องจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมเทียบกับราคาน้ำมันดิบดูไบส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง ผลจากความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ลดลงตามสภาวะเศรษฐกิจ และผลกระทบจากนโยบายทางการค้าของสหรัฐอเมริกาต่อประเทศคู่ค้า
- ธุรกิจปิโตรเคมี: มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาดของกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี (Market Product to Feed: Market PTF) ลดลง ส่วนใหญ่เกิดจากปริมาณการขายในกลุ่มโอเลฟินส์ที่ปรับตัวลดลง เนื่องจากความต้องการซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัว
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจสาธารณูปโภคยังคงมีกำไรขั้นต้นค่อนข้างคงที่จากการขายไฟฟ้าและไอน้ำ โดยรวมแล้ว บริษัทมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาด (Market GIM) อยู่ที่ 3,886 ล้านบาท หรือ 6.34 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ลดลงจากไตรมาสก่อน 31%
เพื่อรับมือกับสถานการณ์เศรษฐกิจและตลาดที่มีความผันผวนสูง IRPC ได้จัดตั้ง “Crisis War Room” ขึ้น เพื่อติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว
นายเทอดเกียรติ ยังได้ประเมินแนวโน้มสถานการณ์ตลาดน้ำมันดิบและตลาดปิโตรเคมีในปี 2568 ว่าจะยังคงเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ รวมถึงช่วงไตรมาส 2 ซึ่งเป็นฤดูกาลซ่อมบำรุงโรงกลั่นที่จะทำให้ความต้องการน้ำมันดิบชะลอตัวชั่วคราว แม้ความขัดแย้งในตะวันออกกลางจะช่วยจำกัดอุปทานส่วนเกินได้บ้าง แต่การปรับเพิ่มกำลังผลิตของกลุ่มโอเปกพลัสก็ยังเป็นความท้าทาย ส่วนต่างราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากอุปทานที่ลดลง ขณะที่ความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมียังทรงตัวถึงอ่อนตัวจากความกังวลเศรษฐกิจโลกและมาตรการกีดกันทางการค้า
อย่างไรก็ตาม ความต้องการท่อ HDPE ซึ่งเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์สำคัญ คาดว่าจะฟื้นตัวในไตรมาส 2 ซึ่งเป็นฤดูการก่อสร้างในภูมิภาคเอเชีย แต่ยังต้องจับตาความไม่แน่นอนจากตลาดอสังหาริมทรัพย์จีนและการเพิ่มกำลังผลิตในจีนอย่างใกล้ชิด
สำหรับกลยุทธ์ในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งในระยะยาว IRPC เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน และควบคุมค่าใช้จ่าย พร้อมบริหารความเสี่ยงทางการเงินเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการลงทุนในอนาคต ผ่าน 2 กลยุทธ์หลัก ได้แก่:
- กลยุทธ์ Core Up Lift: การยกระดับประสิทธิภาพการผลิตและเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลักด้านปิโตรเลียมและปิโตรเคมี
- กลยุทธ์ Step Up & Beyond: การขยายธุรกิจใหม่ ด้วยการต่อยอดความเชี่ยวชาญจากห่วงโซ่อุตสาหกรรมเดิม ร่วมลงทุนกับพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมุ่งเน้นใน 5 กลุ่มธุรกิจเมกะเทรนด์ระดับโลก เช่น ธุรกิจสีและสารเคลือบ, ธุรกิจโรงพยาบาล, และธุรกิจรีไซเคิล เป็นต้น
การปรับกลยุทธ์และการตั้ง Crisis War Room สะท้อนถึงความพยายามของ IRPC ในการรับมือกับความท้าทายจากเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน พร้อมทั้งวางรากฐานเพื่อการเติบโตในธุรกิจใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับเมกะเทรนด์ของโลกในอนาคต