คลัง-กยศ. แจงปมหักเงิน 3 พัน-ยอดหนี้ไม่ตรง ย้ำ! ผู้กู้เร่งเช็คสถานะ-ปรับโครงสร้างหนี้ ก่อนโดนเพิ่ม

กรุงเทพฯ – กระทรวงการคลังและกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ออกมาชี้แจงข้อสงสัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้กู้ยืมในขณะนี้ โดยเฉพาะประเด็นการหักเงินผู้กู้เพิ่มเดือนละ 3,000 บาท และปัญหายอดหนี้ที่ไม่ตรงกันระหว่างแอปพลิเคชันกับเว็บไซต์ พร้อมทั้งเน้นย้ำให้ผู้กู้เร่งตรวจสอบสถานะและดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดเพื่อรักษาสิทธิ์และลดภาระหนี้.

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดำเนินงานของ กยศ. หลังมีการใช้กฎหมายใหม่ตั้งแต่ปี 2566 ซึ่งส่งผลดีกับผู้กู้ยืมทุกคน ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเหลือไม่เกิน 1% ต่อปี (จากเดิมไม่เกิน 7.5%) และอัตราเงินเพิ่มไม่เกิน 0.5% ต่อปี (จากเดิมไม่เกิน 1.5% ต่อเดือน) รวมถึงการเปลี่ยนลำดับการหักชำระหนี้ โดยให้หักจากเงินต้นที่ครบกำหนดก่อน แล้วจึงหักดอกเบี้ยและเงินเพิ่ม.

จากการคำนวณปรับปรุงยอดหนี้ใหม่ หรือ Recal สำหรับลูกหนี้ 3.8 ล้านราย ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 พบว่าผลลัพธ์เป็นไปในทิศทางที่ดีสำหรับผู้กู้ยืม แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่:
1. กลุ่มที่ได้เงินคืน: จำนวน 2.89 แสนบัญชี เป็นเงินรวม 3,399 ล้านบาท
2. กลุ่มที่มียอดหนี้ลดลง: จำนวน 3.54 ล้านบัญชี ยอดหนี้ลดลงรวม 4.62 หมื่นล้านบาท
3. กลุ่มที่มียอดหนี้เท่าเดิม: จำนวน 755 บัญชี
4. กลุ่มที่หนี้หมด (ปิดบัญชี): จำนวน 80 บัญชี

นายลวรณ กล่าวต่อว่า แม้ผลการปรับปรุงยอดหนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้กู้จำนวนมาก แต่มีผู้กู้เพียงส่วนน้อยที่เข้ามาดำเนินการตามสิทธิ์ โดยกลุ่มที่ได้เงินคืน มีผู้แจ้งความประสงค์ขอเงินคืนเพียง 26,463 บัญชี คิดเป็นเงิน 426.5 ล้านบาท หรือประมาณ 10% ของจำนวนผู้ที่ต้องได้รับเงินคืนทั้งหมด ซึ่ง กยศ. ยืนยันความพร้อมที่จะคืนเงินทั้งหมดภายในเดือนพฤษภาคม 2568 นี้ ขณะที่กลุ่มที่มียอดหนี้ลดลง 3.54 ล้านบัญชี มีผู้มาลงทะเบียนปรับโครงสร้างหนี้เพียงประมาณ 6 แสนบัญชีเท่านั้น.

สำหรับกรณีที่มีการหักเงินผู้กู้ยืมเพิ่มขึ้นเดือนละ 3,000 บาท ซึ่งทำให้ยอดชำระหนี้ต่อเดือนเพิ่มขึ้นนั้น นายลวรณ ชี้แจงว่า สาเหตุหลักมาจากผู้กู้มียอดค้างชำระหนี้ก่อนการหักเงินเดือน หรือยังไม่ได้ดำเนินการชำระในส่วนอื่นๆ รวมถึงยังไม่ได้มาลงทะเบียนปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งกลุ่มนี้มีจำนวนประมาณ 5.1 แสนบัญชี.

หลังจาก กยศ. ได้แจ้งไปยังกลุ่มดังกล่าว มีผู้ที่เข้ามาปรับโครงสร้างหนี้แล้ว 2 แสนบัญชี และปิดบัญชีไปแล้ว 4.2 หมื่นบัญชี ส่งผลให้กลุ่มนี้ไม่ถูกหักเงินเพิ่ม 3,000 บาท แต่ยังคงเหลืออีก 2.6 แสนบัญชี ที่ยังไม่ได้มาลงทะเบียน ทำให้ต้องเริ่มจ่ายเงินเพิ่ม 3,000 บาท ตั้งแต่เดือนเมษายน 2568 ที่ผ่านมา และจะยังคงต้องจ่ายเพิ่มต่อไปเรื่อยๆ หากไม่มาดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้.

ปลัดกระทรวงการคลังยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจนว่า ผู้กู้รายหนึ่งเคยมียอดหนี้เดิม 2.79 แสนบาท มีภาระชำระต่อเดือน 1,620 บาท และถูกหักเพิ่มอีก 3,000 บาท รวมเป็น 4,620 บาทต่อเดือน แต่เมื่อเข้ามาในระบบปรับโครงสร้างหนี้ ยอดหนี้จะลดลงเหลือเพียง 8.49 หมื่นบาท และมีภาระชำระหนี้ต่อเดือนเพียง 480 บาท โดยไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม 3,000 บาท ทำให้ภาระลดลงอย่างมาก.

เพื่อให้ผู้กู้ยืมมีเวลาเพียงพอในการติดต่อขอปรับโครงสร้างหนี้และหลีกเลี่ยงการถูกหักเงินเพิ่ม 3,000 บาท ในงวดเดือนพฤษภาคมนี้ ทาง กยศ. ได้ขยายระยะเวลาการชำระหนี้ออกไปจนถึงวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 จากเดิมที่ต้องชำระภายในวันที่ 17 ของเดือน.

ด้าน น.ส.นันทวัน วงศ์ขจรกิตติ ผู้จัดการกองทุน กยศ. กล่าวชี้แจงถึงกรณีที่ผู้กู้ยืมร้องเรียนว่ายอดหนี้ที่แสดงในแอปพลิเคชัน กยศ. คอนเน็กซ์ ไม่ตรงกับยอดหนี้ในเว็บไซต์ของ กยศ. ว่า ยอมรับว่าระบบมีปัญหาจริง จึงขอความร่วมมือให้ผู้กู้ยืมตรวจสอบยอดชำระหนี้ในเว็บไซต์ของ กยศ. เท่านั้น เป็นข้อมูลที่ถูกต้องที่สุดในขณะนี้ ส่วนแอปพลิเคชัน กยศ. คอนเน็กซ์ ยังคงใช้เป็นช่องทางสำหรับการชำระหนี้ได้ตามปกติ.

น.ส.นันทวัน กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายในสัปดาห์หน้า หรือเร็วๆ นี้ เจ้าหน้าที่ที่ดูแลระบบจะดำเนินการปิดระบบการเช็คยอดชำระหนี้ในแอปพลิเคชัน กยศ. คอนเน็กซ์ ชั่วคราว เพื่อป้องกันความสับสนที่อาจเกิดขึ้น และจะมีการอัปเดตข้อมูลให้ตรงกันในอนาคต.

ดังนั้น กยศ. และกระทรวงการคลัง จึงขอเชิญชวนผู้กู้ยืมทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มที่มียอดหนี้ลดลงและกลุ่มที่ถูกหักเงินเพิ่ม 3,000 บาท เร่งเข้ามาตรวจสอบสถานะและดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ผ่านช่องทางที่ กยศ. กำหนดโดยเร็วที่สุด เพื่อให้ได้รับสิทธิ์ประโยชน์ตามกฎหมายใหม่ และแก้ไขปัญหาภาระหนี้ที่เกิดขึ้น.

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *