กรุงเทพมหานคร – เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2568 หน่วยงานภาครัฐสำคัญรวม 9 แห่ง ได้ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการประสาน แลกเปลี่ยน และสนับสนุนข้อมูล เพื่อการแจ้งเตือนภัยและการจัดตั้งห้องปฏิบัติการ (War Room) ร่วมกัน โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อยกระดับระบบการแจ้งเตือนภัยพิบัติระดับชาติให้มีความรวดเร็ว แม่นยำ และเป็นมาตรฐานเดียวกัน

การลงนามครั้งประวัติศาสตร์นี้ นำโดยกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) พร้อมด้วยอีก 7 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ, กรมอุตุนิยมวิทยา, กรมทรัพยากรธรณี, กรมชลประทาน, กรมทรัพยากรน้ำ, สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) และสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน)

ความร่วมมือดังกล่าวถือเป็นการบูรณาการข้อมูลสาธารณภัยจากหลากหลายมิติอย่างแท้จริง ครอบคลุมตั้งแต่ด้านภูมิอากาศ, สภาพน้ำท่า, ปริมาณน้ำฝน, ข้อมูลภูมิศาสตร์, คุณภาพอากาศ (โดยเฉพาะ PM2.5), ไปจนถึงระบบข้อมูลสารสนเทศผ่านดาวเทียม นอกจากนี้ยังมีการสนับสนุนข้อมูลเชิงวิชาการและเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพื่อหลอมรวมข้อมูลทั้งหมดให้เป็น ‘One Message’ ชุดเดียวกัน ก่อนส่งตรงไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชน เพื่อให้การสื่อสารมีความเข้าใจตรงกัน ไม่สับสน และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการเตรียมรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นางสาวปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เปิดเผยว่า ภารกิจสำคัญของ คพ. คือการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม เหตุฉุกเฉินอุบัติภัยสารเคมี และสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ซึ่งเป็นปัญหาที่คนไทยให้ความสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่มักจะมีค่าสูงในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล การลงนามครั้งนี้จะช่วยให้ คพ. สามารถยกระดับการแจ้งเตือนภัยฝุ่น PM2.5 ให้ตรงจุด สื่อสารถูกต้อง แม่นยำ และทันต่อสถานการณ์มากยิ่งขึ้น เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลเรียลไทม์ การคาดการณ์ล่วงหน้า และคำแนะนำในการปฏิบัติตน เพื่อปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม

ด้านนายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กล่าวเสริมว่า จากสถานการณ์สาธารณภัยที่ผ่านมาและแนวโน้มในอนาคตที่ทวีความรุนแรงและคาดเดาได้ยาก การแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างการตระหนักรู้และการเตรียมพร้อม ปภ. ในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจหลักในการแจ้งเตือนภัย จะนำความร่วมมือนี้มาใช้ในการส่งต่อข้อมูลที่ถูกต้องและรวดเร็วไปยังทุกภาคส่วนและประชาชน เพื่อให้ทุกคนสามารถเตรียมรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด สามารถลดความสูญเสียทั้งต่อชีวิต ทรัพย์สินของรัฐ และประชาชนได้มากที่สุด

การจัดตั้งห้องปฏิบัติการ (War Room) ร่วมกันระหว่าง 9 หน่วยงาน จะเป็นศูนย์กลางในการวิเคราะห์ ตรวจสอบ และตัดสินใจออกคำเตือนภัย โดยใช้ชุดข้อมูลบูรณาการจากทุกหน่วยงาน ทำให้การตัดสินใจรวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น ถือเป็นก้าวสำคัญของการบริหารจัดการภัยพิบัติของประเทศไทยในยุคข้อมูลข่าวสาร