G-Token ไม่ได้สร้างหนี้ใหม่! รมช.คลัง ‘เผ่าภูมิ’ ยันกลไกใหม่ระดมทุนรัฐบาล เข้าถึงง่าย ต้นทุนต่ำ

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่เห็นชอบให้กระทรวงการคลังออกโทเคนดิจิทัล หรือ Government Token (G-Token) เพื่อใช้เป็นกลไกใหม่ในการระดมทุนของรัฐบาล โดยยืนยันว่า G-Token นี้ ไม่ได้เป็นการสร้างหนี้ใหม่ อย่างที่บางส่วนอาจเข้าใจผิด

นายเผ่าภูมิ ชี้แจงว่า G-Token เป็นเพียงเครื่องมือใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งจะเข้ามาช่วยเสริมการทำงานของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) และทำให้ประเทศสามารถกู้ยืมได้อย่างมีศักยภาพที่สูงขึ้น ในขณะที่ต้นทุนทางการเงินก็จะต่ำลง รวมถึงยังสามารถเข้าถึงประชาชนได้ในวงกว้างมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนรายย่อย ซึ่งเป็นกลุ่มที่เข้าถึงการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลแบบเดิมได้ค่อนข้างยาก

ลักษณะของ G-Token จะคล้ายกับพันธบัตรรัฐบาล แต่จะอยู่ในรูปแบบของสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) ซึ่งสามารถแบ่งย่อยหน่วยลงทุนได้ ทำให้ประชาชนที่มีเงินลงทุนไม่มากก็สามารถเข้าถึงและร่วมลงทุนได้ง่ายขึ้น ต่างจากพันธบัตรแบบดั้งเดิมที่มักต้องใช้เงินลงทุนก้อนใหญ่ โดยข้อมูลสำคัญ เช่น อัตราดอกเบี้ย หรือกำหนดไถ่ถอน จะถูกระบุไว้ใน Smart Contract ของ Token นั้นๆ เช่นเดียวกับข้อมูลในพันธบัตรรัฐบาล

ข้อดีเด่นๆ ของ G-Token ที่นายเผ่าภูมิกล่าวถึง คือ:

  • เพิ่มการเข้าถึง: สามารถแบ่งหน่วยลงทุนย่อยได้ ทำให้นักลงทุนรายย่อยเข้าถึงและมีส่วนร่วมในการระดมทุนของรัฐบาลได้ง่ายขึ้น
  • เพิ่มสภาพคล่อง: มีสภาพคล่องในการซื้อขายในตลาดรองสูงขึ้น เมื่อเทียบกับตลาดพันธบัตรรัฐบาลในปัจจุบัน
  • ลดต้นทุน: ช่วยลดต้นทุนทางการเงินในการกู้ยืมของประเทศ ทำให้การบริหารจัดการหนี้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

นายเผ่าภูมิเสริมว่า ในปัจจุบัน สบน. ใช้เครื่องมือหลากหลายชนิดในการบริหารหนี้ภาครัฐ เช่น พันธบัตรรัฐบาล และ G-Token ก็จะเข้ามาเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือใหม่ที่จะช่วยให้การบริหารการกู้ยืมมีประสิทธิภาพสูงสุด

ในส่วนของรายละเอียดช่องทางการซื้อขายและกลไกต่างๆ ขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังอยู่ในกระบวนการหารือ ซึ่งจะมีหลายหน่วยงานเข้ามามีส่วนร่วม โดยจะมีการประกาศรายละเอียดให้ประชาชนได้ทราบโดยเร็วที่สุด และยืนยันว่า แม้แต่ประชาชนที่ไม่มีสมาร์ทโฟน ก็จะสามารถเข้าถึงการลงทุนใน G-Token ได้เช่นกัน

คาดว่า G-Token จะพร้อมออกจำหน่ายให้กับประชาชนได้ภายในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า โดยในระยะแรก คาดว่าจะเน้นเปิดให้เฉพาะนักลงทุนรายย่อยสามารถเข้าลงทุนได้ก่อน หากประเทศไทยสามารถดำเนินการนี้ได้สำเร็จ ก็จะถือเป็นประเทศแรกๆ ของโลกที่นำ Digital Asset มาใช้ในลักษณะนี้

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *