คลังหวั่นรายได้ปี 68 วืดเป้า! จ่อใช้ พ.ร.บ.กู้เงินพิเศษ หวั่นซ้ำรอยโควิด
กระทรวงการคลังกำลังประเมินสถานการณ์การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในปีงบประมาณ 2568 อย่างใกล้ชิด หลังพบสัญญาณน่ากังวลว่าอาจไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยกำลังพิจารณาถึงความจำเป็นในการกู้เงินเพิ่มเติมเพื่อรองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การพิจารณาออกพระราชบัญญัติกู้เงินเพิ่มเติมเป็นการเฉพาะ เช่นเดียวกับที่เคยทำในช่วงวิกฤตโควิด-19
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า ขณะนี้ทีมงานกำลังอยู่ระหว่างการประเมินและจับตาสถานการณ์จัดเก็บรายได้ของรัฐบาลสำหรับปีงบประมาณ 2568 อย่างเข้มงวด หลังจากผลการดำเนินงานในช่วง 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ (ตุลาคม 2567 – กุมภาพันธ์ 2568) พบว่า สามารถจัดเก็บรายได้เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้เพียง 0.1% เท่านั้น
แม้ตัวเลขโดยรวมจะสูงกว่าเป้าเล็กน้อย แต่รายงานระบุว่า รายได้ส่วนเกินที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มาจากการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ ในขณะที่รายได้หลักจากการจัดเก็บภาษีโดย 3 กรมภาษีสำคัญของประเทศ (กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร) ยังคงต่ำกว่าเป้าหมายที่ประมาณการไว้ ซึ่งเป็นสัญญาณที่น่ากังวลสำหรับภาพรวมการจัดเก็บรายได้ตลอดทั้งปี
นอกจากปัจจัยภายในที่การจัดเก็บรายได้หลักยังไม่เป็นไปตามแผน เศรษฐกิจไทยในปีนี้ยังคงเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายการค้าของสหรัฐอเมริกา ภายใต้การนำของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะใช้กำแพงภาษีเพื่อตอบโต้ประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ นโยบายดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อเป้าหมายการส่งออกสินค้าของไทย ซึ่งเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของประเทศในปีนี้
ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนภายในประเทศเองก็ยังคงชะลอการตัดสินใจลงทุนโครงการขนาดใหญ่ เนื่องจากยังคงรอประเมินสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเข้ามากระทบกับทิศทางการดำเนินธุรกิจ ซึ่งสามารถสะท้อนได้จากยอดการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินต่างๆ ที่ยังคงอยู่ในภาวะที่ค่อนข้างชะลอตัว ไม่คึกคักเท่าที่ควร
จากสถานการณ์เหล่านี้ ทำให้กระทรวงการคลังต้องประเมินอย่างรอบด้านว่ามีความจำเป็นหรือไม่ที่รัฐบาลจะต้องพิจารณาใช้แหล่งเงินกู้เพิ่มเติม เพื่อเตรียมความพร้อมในการรองรับกรณีที่เศรษฐกิจไทยอาจได้รับผลกระทบรุนแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ แหล่งข่าวระบุว่า งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 ที่ตั้งวงเงินขาดดุลไว้สูงถึง 8.65 แสนล้านบาทนั้น แม้จะเป็นวงเงินที่มาก แต่ก็มีแผนการใช้จ่ายรองรับไว้ทั้งหมดแล้ว หากเกิดความจำเป็นต้องมีการใช้จ่ายเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือบรรเทาผลกระทบ ก็จำเป็นต้องพึ่งพาแหล่งเงินจากการกู้ยืม
อย่างไรก็ตาม ภายใต้กรอบพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะในปัจจุบัน รัฐบาลมีช่องว่างที่จะสามารถกู้เงินเพิ่มเติมได้อีกเพียงประมาณ 1 แสนล้านบาทเท่านั้น ซึ่งกระทรวงการคลังประเมินว่า วงเงินจำนวนนี้อาจไม่เพียงพอที่จะรองรับการใช้จ่ายฉุกเฉิน หรือการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่หากสถานการณ์เลวร้ายลง
ดังนั้น หากประเมินแล้วพบว่ามีความจำเป็นเร่งด่วนและวงเงินกู้ภายใต้กรอบปกติไม่เพียงพอ ทางเลือกสุดท้ายที่อาจต้องพิจารณาคือ การออกพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการเยียวยา ฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม หรือเพื่อรองรับสถานการณ์พิเศษเพิ่มเติม เป็นการเฉพาะเจาะจง เช่นเดียวกับที่เคยดำเนินการไปแล้วในช่วงที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับวิกฤตการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เมื่อปี 2563
แต่ทั้งนี้ การออก พ.ร.บ.กู้เงินเพิ่มเติมดังกล่าวไม่ได้สามารถทำได้โดยง่าย รัฐบาลจำเป็นต้องแสดงให้เห็นถึงเหตุผลความจำเป็นที่ชัดเจน เช่น เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะวิกฤตอย่างแท้จริง มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องใช้เงินจำนวนมาก และต้องมีโครงการหรือแผนการใช้จ่ายที่ชัดเจน รวมถึงกำหนดระยะเวลาในการใช้จ่ายเงินกู้ก้อนนั้น
แหล่งข่าวชี้ว่า สถานการณ์เศรษฐกิจในขณะนี้ แม้จะมีความเสี่ยงและชะลอตัว แต่ก็ยังไม่ถือว่าเข้าสู่ภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้รัฐบาลอาจยังไม่สามารถใช้ช่องทางการกู้เงินพิเศษดังกล่าวได้ในทันที นอกจากนี้ การตัดสินใจก่อหนี้เพิ่มเติมทุกครั้งยังต้องคำนึงถึงระดับหนี้สาธารณะของประเทศ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 64% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) เพื่อไม่ให้เกินเพดานการก่อหนี้ที่กำหนดไว้ตามกรอบวินัยการเงินการคลัง ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 70% ของจีดีพี
การประเมินสถานการณ์การจัดเก็บรายได้และความจำเป็นในการกู้เงินเพิ่มเติมจึงเป็นเรื่องสำคัญที่กระทรวงการคลังกำลังดำเนินการอย่างรอบคอบ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในปีงบประมาณ 2568 นี้