กรุงเทพฯ – ข่าวที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อค่าครองชีพประชาชน! เครือข่ายผู้เลี้ยงไก่ไข่ 4 องค์กรหลักของประเทศ ประกาศเตรียมปรับขึ้นราคาไข่ไก่หน้าฟาร์มอีกครั้ง โดยจะเพิ่มขึ้นฟองละ 20 สตางค์ หรือคิดเป็นแผงละ 6 บาท (จากแผงละ 30 ฟอง) มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 28 เมษายน 2568 เป็นต้นไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 25 เมษายน ที่ผ่านมา เครือข่ายผู้เลี้ยงไก่ไข่ 4 องค์กรสำคัญในอุตสาหกรรมไก่ไข่ไทย ซึ่งประกอบด้วย สหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่แปดริ้ว จำกัด, สหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ชลบุรี จำกัด, สหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่เชียงใหม่-ลำพูน จำกัด และสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ลุ่มแม่น้ำน้อย จำกัด ได้ร่วมกันทำหนังสือแจ้งอย่างเป็นทางการไปยังสมาชิกผู้เลี้ยงไก่ไข่ทั่วประเทศ เพื่อแจ้งให้ทราบถึงการตัดสินใจร่วมกันในการปรับราคาไข่ไก่หน้าฟาร์มขึ้น

ตามรายละเอียดในหนังสือแจ้ง การปรับราคาครั้งนี้ จะส่งผลให้ราคาไข่ไก่หน้าฟาร์มจากเดิมที่อยู่ที่ฟองละ 3.40 บาท ปรับเพิ่มขึ้นเป็นฟองละ 3.60 บาท ซึ่งหมายถึงการเพิ่มขึ้น 20 สตางค์ต่อฟอง หรือเมื่อคิดเป็นราคาต่อแผง (มาตรฐาน 30 ฟอง) จะเท่ากับราคาที่ปรับเพิ่มขึ้น 6 บาทต่อแผง การเปลี่ยนแปลงราคานี้จะมีผลตั้งแต่วันจันทร์ที่ 28 เมษายน 2568 เป็นต้นไปอย่างพร้อมเพรียงกัน

แหล่งข่าวจากเครือข่ายผู้เลี้ยงไก่ไข่ เปิดเผยว่า การตัดสินใจปรับขึ้นราคาในครั้งนี้ ถือเป็นความจำเป็นเพื่อสะท้อนต้นทุนการผลิตที่แท้จริง ซึ่งยังคงอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าราคาอาหารสัตว์บางชนิดอาจมีแนวโน้มทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย แต่ต้นทุนปัจจัยการผลิตอื่นๆ เช่น ค่าพลังงาน ค่าแรงงาน ค่าเวชภัณฑ์ในการดูแลสุขภาพสัตว์ ตลอดจนความเสี่ยงจากสภาวะอากาศและโรคระบาดยังคงเป็นภาระสำคัญของผู้เลี้ยง ทำให้ผู้เลี้ยงจำนวนมากประสบภาวะขาดทุนหรือมีกำไรน้อยมากจนไม่สามารถอยู่รอดได้ในระยะยาว การปรับราคาจึงเป็นกลไกหนึ่งเพื่อช่วยให้ผู้เลี้ยงยังคงสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ และรักษาระบบการผลิตไข่ไก่ให้มีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภคในประเทศ

อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นราคาไข่ไก่ซึ่งเป็นสินค้าจำเป็นพื้นฐานสำหรับการบริโภคและเป็นวัตถุดิบหลักในอุตสาหกรรมอาหารหลายประเภท คาดว่าจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง รวมถึงผู้ประกอบการร้านอาหารขนาดเล็ก ร้านเบเกอรี่ และร้านค้าหาบเร่แผงลอยที่ต้องใช้ไข่ไก่จำนวนมาก ซึ่งอาจต้องพิจารณาปรับราคาสินค้าและบริการของตนเองตามต้นทุนที่สูงขึ้น

นักวิเคราะห์เศรษฐกิจมองว่า การทยอยปรับขึ้นราคาสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็น อาจยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ค่าครองชีพที่อยู่ในระดับสูงอยู่แล้ว และอาจส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคในภาพรวม ซึ่งอาจชะลอตัวลงได้ หากสถานการณ์ต้นทุนการผลิตยังไม่คลี่คลาย และราคาสินค้าอื่นๆ ยังมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภาครัฐอาจจำเป็นต้องพิจารณาหามาตรการในการบริหารจัดการและควบคุมต้นทุนในภาคปศุสัตว์ รวมถึงพิจารณาแนวทางในการช่วยเหลือผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบ เพื่อไม่ให้ประชาชนต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่หนักขึ้นจนเกินไป

ประชาชนและภาคส่วนต่างๆ กำลังจับตาดูสถานการณ์ราคาไข่ไก่และทิศทางราคาสินค้าอื่นๆ อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งคาดหวังว่าจะมีมาตรการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูแล เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้น.