คดีฮั้ว สว. สั่นสะเทือน! กกต.เรียกสอบพุ่งกว่า 140 คน ลามถึงนักการเมืองระดับชาติ ยันไร้เส้นตายตามกฎหมาย
ความเคลื่อนไหวล่าสุดในคดีที่สังคมกำลังจับตาอย่างใกล้ชิด กรณีการตรวจสอบกระบวนการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่าอาจเข้าข่ายการสมยอมหรือ ‘ฮั้ว’ กัน ยังคงมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง
จากเดิมที่คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน คณะที่ 26 ของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกหมายเรียกกลุ่ม สว. ล็อตแรกจำนวน 55 คน เข้ารับทราบข้อกล่าวหาเมื่อช่วงวันที่ 19-21 พฤษภาคม ที่ผ่านมา กรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่าอาจเข้าข่ายการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561
ล่าสุด มีรายงานว่า คณะกรรมการสืบสวนฯ ได้ออกหมายเรียกผู้เกี่ยวข้องในคดี ‘ฮั้ว สว.’ เพิ่มเติมอีกในล็อตที่สอง ซึ่งเมื่อรวมกับล็อตแรกแล้ว ทำให้มียอดรวมผู้ถูกออกหมายเรียกให้มาชี้แจงข้อเท็จจริงและรับทราบข้อกล่าวหา พุ่งสูงขึ้นเป็นกว่า 140 คน
รายชื่อผู้ถูกออกหมายเรียกในล็อตที่สองนี้ไม่ได้มีเพียงแค่กลุ่มผู้ที่ได้รับการเลือกเป็น สว. เท่านั้น แต่ยังปรากฏชื่อบุคคลสำคัญจากแวดวงการเมืองหลายระดับ ทั้งรัฐมนตรีช่วยว่าการ, ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการ, อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร รวมถึงนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ซึ่งสังกัดพรรคการเมืองหนึ่งรวมอยู่ด้วย
สถานการณ์ดังกล่าว นำไปสู่การคาดการณ์ว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ อาจจะมีการออกหมายเรียกผู้เกี่ยวข้องตามมาอีกหลายล็อต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาจมีชื่อของนักการเมืองระดับ ‘บิ๊กเนม’ หรือผู้มีชื่อเสียงในสังคมอีกหลายคนที่อยู่ในข่ายจะต้องถูกเรียกให้เข้ามาชี้แจงต่อคณะกรรมการสืบสวนฯ ของ กกต.
รายงานระบุว่า จากพยานหลักฐานต่างๆ ที่คณะกรรมการสืบสวนฯ ของ กกต. ได้ทำงานร่วมกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในการรวบรวมมานั้น เผยให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของขบวนการ ‘ฮั้ว’ ซึ่งครอบคลุมและเชื่อมโยงกันอย่างชัดเจน ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ไปจนถึงปลายน้ำของกระบวนการเลือก สว.
อย่างไรก็ตาม ด้วยจำนวนบุคคลที่ถูก กกต. ออกหมายเรียก ทั้งในปัจจุบันและที่คาดว่าจะตามมาในอนาคต ซึ่งมีจำนวนเกินหลักร้อยคนอย่างแน่นอน ทำให้เกิดความกังวลในหมู่ประชาชนและนักวิเคราะห์หลายฝ่าย ว่าภายใต้กรอบระยะเวลา 1 ปี นับตั้งแต่ที่ กกต. ได้ประกาศรับรองผลการเลือก สว. 200 คนอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 นี้ จะส่งผลกระทบ หรือเป็นข้อจำกัดในการดำเนินการสืบสวนและไต่สวนคดี ‘ฮั้ว สว.’ ที่อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของ กกต. หรือไม่
ในประเด็นนี้ นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ได้ออกมาให้ความชัดเจน โดยระบุถึงเส้นตายในการสืบสวนคดี คือวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 ซึ่งหากนับจากนี้ไปก็เหลือเวลาอีกไม่ถึง 50 วัน แต่ในขณะเดียวกัน เลขาธิการ กกต. ก็ได้อธิบายเพิ่มเติมในบรรทัดต่อมาว่า กรอบระยะเวลา 1 ปี ดังกล่าวนี้ เป็นเพียง ‘เส้นตาย’ หรือกรอบระยะเวลาที่สำนักงาน กกต. กำหนดขึ้นเอง เพื่อใช้เป็นมาตรการเร่งรัดการทำงานของคณะกรรมการสืบสวนฯ ให้ดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว
ซึ่งสิ่งสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจคือ กรอบระยะเวลา 1 ปีนี้ ‘ไม่ใช่เส้นตายที่กฎหมายกำหนดไว้’
นายแสวง ชี้แจงว่า ในรัฐธรรมนูญฉบับก่อนหน้า และกฎหมายลูกว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. ในอดีต ได้มีการกำหนดกรอบระยะเวลา 1 ปี ไว้เพื่อเป็นการกำกับการทำงานตรวจสอบของ กกต. และหากพ้นเส้นตายดังกล่าวไปแล้ว จะต้องถือว่าผู้ที่ได้รับเลือกตั้ง หรือผู้ที่ได้รับการคัดเลือกนั้น ได้เข้ามาโดยสุจริตและเที่ยงธรรม
แต่ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 ฉบับปัจจุบัน ไม่ได้มีการกำหนดไว้ว่า กกต. จะต้องทำการตรวจสอบและดำเนินการสืบสวนคดีให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาเท่าใด
สรุปก็คือ หากคณะกรรมการสืบสวนฯ สามารถรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อยืนยันได้ชัดเจนว่า กระบวนการเลือก สว. ในครั้งที่ผ่านมา มีขบวนการ ‘ฮั้ว’ กันจริง หรือมีการกระทำที่เข้าข่ายการฝ่าฝืนกฎหมายในลักษณะอื่นใด กกต. ก็สามารถที่จะส่งเรื่องและหลักฐานทั้งหมดไปยังศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง เพื่อพิจารณาและมีคำสั่ง ‘สอย’ หรือถอดถอนบุคคลที่เกี่ยวข้องออกจากตำแหน่งได้ทันที ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใดก็ตาม โดยไม่มีกรอบเส้นตาย 1 ปี มาเป็นตัวกำหนดในการดำเนินการทางกฎหมาย
ดังนั้น การสืบสวนคดี ‘ฮั้ว สว.’ จึงยังคงดำเนินต่อไป และขยายขอบเขตการตรวจสอบออกไปอย่างกว้างขวาง โดยไม่มีข้อจำกัดทางด้านระยะเวลาตามกฎหมาย