กกต.-ดีเอสไอ เดินหน้าคดีเลือก สว. แจ้งข้อกล่าวหา ‘ฮั้ว’ ชุดแรก 54 คน รวมประธาน-รองประธานวุฒิสภา สังคมกดดันหนักให้หยุดปฏิบัติหน้าที่

ความคืบหน้ากรณีการสอบสวนการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ปี 2567 ซึ่งเต็มไปด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงกระบวนการที่ส่อไปในทางสมคบหรือที่เรียกว่า ‘ฮั้ว’ กันอย่างโจ่งแจ้ง ล่าสุดได้เข้าสู่ขั้นตอนการแจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว

คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ซึ่งทำงานร่วมกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ดำเนินการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน จนนำไปสู่การออกหมายเรียกเพื่อแจ้งข้อกล่าวหาแก่ สว. ชุดแรกจำนวน 54 คน ผู้ถูกกล่าวหาชุดนี้มีชื่อของประธานและรองประธานวุฒิสภา รวมอยู่ด้วย กกต. ได้กำหนดวันให้ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 54 คน เข้าชี้แจงข้อกล่าวหาและแก้ต่างในวันที่ 19-21 พฤษภาคม 2568 โดยจะมีการแบ่งกลุ่มผู้เข้าชี้แจงเป็น 3 กลุ่มในแต่ละวัน

อย่างไรก็ตาม การแจ้งข้อกล่าวหาชุดแรกนี้ยังไม่ใช่ทั้งหมด มีรายงานว่าจะมีผู้ถูกกล่าวหาในคดีเลือก สว. ชุดที่สองตามมาอีก ซึ่งต้องรอติดตามรายละเอียดต่อไป นอกเหนือจากคดีในส่วนของ กกต. แล้ว ทางดีเอสไอเองก็มีสำนวนการสอบสวนที่เกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่ง สว. ในประเด็นอื่น ๆ ที่กว้างขวางกว่า เช่น คดีเกี่ยวกับการฟอกเงินและคดีอั้งยี่ ซึ่ง พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าสำนวนของดีเอสไอจะมีจำนวนมากกว่าของ กกต.

คดีนี้ได้รับความสนใจจากสังคมและผู้ติดตามการเมืองเป็นอย่างสูง เนื่องจากกระบวนการเลือก สว. ที่ผ่านมามีข้อครหามากมายว่ามีการกระทำที่เข้าข่ายการฮั้วกันอย่างชัดเจน ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายและกฎระเบียบของ กกต. การสอบสวน ไต่สวน และนำคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลจึงเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้เกิดความกระจ่างและรักษาหลักการของกฎหมาย

นอกจากนี้ พฤติกรรมที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นการฮั้วเลือก สว. ยังถูกมองว่าสร้างความเสื่อมเสียแก่ระบบรัฐสภา ทำลายความสง่างามและเกียรติภูมิของวุฒิสภา และอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของรัฐสภาโดยรวม ด้วยเหตุนี้ จึงมีเสียงเรียกร้องอย่างกว้างขวางจากภาคส่วนต่างๆ ในสังคม ให้ สว. ที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาได้แสดงออกถึงจิตสำนึกและความรับผิดชอบต่อสาธารณะ โดยการพิจารณาหยุดปฏิบัติหน้าที่ของตนเองไว้ชั่วคราวในระหว่างที่ต่อสู้คดีและรอการวินิจฉัยชี้ขาดจากศาล

การเรียกร้องให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวนี้มีขึ้นโดยไม่ต้องรอคำสั่งจากศาล เพื่อให้กระบวนการแก้ต่างดำเนินไปได้อย่างเต็มที่ และที่สำคัญ เพื่อหลีกเลี่ยงข้อกังขาหรือปัญหาที่จะตามมาภายหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทำหน้าที่ลงมติสำคัญๆ ในการประชุมวุฒิสภา เช่น การลงมติในร่างพระราชบัญญัติสำคัญ หรือการลงมติให้ความเห็นชอบบุคคลเพื่อเข้าดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระต่างๆ

เนื่องจากที่มาของ สว. ที่ถูกกล่าวหายังคงมีความคลุมเครือและมีคดีความติดตัว การลงมติใดๆ อาจถูกมองว่ามีปัญหาด้านความชอบธรรมและอาจส่งผลกระทบต่อการยอมรับของสังคมต่อการตัดสินใจเหล่านั้น ดังนั้น การแสดงความรับผิดชอบด้วยการหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวในช่วงเวลาสำคัญนี้ จึงถือเป็นการแสดงเจตจำนงค์ที่ดีในการรักษาความน่าเชื่อถือของสถาบันนิติบัญญัติ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *