ดีเอสไอส่งหลักฐานคดีฮั้วเลือก สว. ถึง กกต. แล้ว ชี้เงินสะพัดกว่า 500 ล้าน ส่วนคดีฟอกเงิน-อั้งยี่ ดีเอสไอฟันเอง คาดจบ พ.ค. นี้
กรุงเทพฯ – ความคืบหน้ากรณีการตรวจสอบกระบวนการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่มีความผิดปกติ ล่าสุด คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้เปิดเผยถึงผลการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานในคดีพิเศษที่ 24/2568 ซึ่งเกี่ยวข้องกับความผิดฐานฟอกเงินของบุคคลหรือคณะบุคคลที่อาจเกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่ง สว. โดยได้ส่งข้อมูลและหลักฐานสำคัญทั้งหมดให้กับสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แหล่งข่าวจากคณะพนักงานสอบสวนดีเอสไอ ระบุว่า การดำเนินคดีได้มีการสอบปากคำพยานสำคัญร่วมกับ กกต. ไปแล้วกว่า 30 ปาก พร้อมทั้งได้วิเคราะห์ข้อมูลจากการรวบรวมพยานหลักฐานเชิงลึก ทั้งความสัมพันธ์เชื่อมโยงของกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้อง การตรวจสอบเส้นทางการเงินที่พบว่ามีการสะพัดในระบบไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท ซึ่งครอบคลุมการเลือก สว. ตั้งแต่ระดับอำเภอ ระดับจังหวัด ไปจนถึงระดับประเทศ นอกจากนี้ ยังพบความผิดปกติในการกาคะแนนและการนับผลคะแนนที่มีการเลือกหมายเลขเดียวกันซ้ำกันเป็นจำนวนมากในหลายชุด
จากการวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมด ดีเอสไอพบการกระทำที่มีกระบวนการหรือพฤติการณ์ที่เข้าข่ายไม่สุจริตหรือเที่ยงธรรม ซึ่งถือเป็นการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 ดังนั้น จึงได้ส่งมอบหลักฐานและข้อมูลดังกล่าวให้ กกต. เพื่อพิจารณาดำเนินการตามอำนาจในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายเลือกตั้งต่อไป อาทิ การพิจารณาเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหรือสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของ สว. ที่พบความผิด
ในส่วนของ สว. ที่ กกต. ตรวจสอบแล้วพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด กกต. จะเป็นผู้พิจารณาร้องทุกข์กล่าวโทษบุคคลนั้นต่อพนักงานสอบสวน ไม่ว่าจะเป็นตำรวจหรือดีเอสไอ ในขณะเดียวกัน หากเป็นการดำเนินการที่นำไปสู่การพิจารณาให้ สว. พ้นจากตำแหน่ง กกต. จะเป็นผู้ส่งเรื่องต่อไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อพิจารณาตามขั้นตอนของกฎหมาย โดยคาดว่าการพิจารณาของ กกต. ในส่วนนี้ อาจมีความชัดเจนได้ภายในช่วงสัปดาห์หน้า
ขณะที่ในส่วนของคดีอาญาที่อยู่ภายใต้การรับผิดชอบของดีเอสไอโดยตรง ได้แก่ ความผิดฐานฟอกเงินและความผิดฐานอั้งยี่ คณะพนักงานสอบสวนยังคงอยู่ระหว่างการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการสอบปากคำพยานทั่วประเทศ เพื่อจำแนกกลุ่มบุคคลและพฤติการณ์ว่าใครมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจับกลุ่ม ตั้งเป็นคณะบุคคล หรือมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันในลักษณะใดบ้าง
ดีเอสไอเปิดเผยว่า มีความเป็นไปได้ที่ผู้เกี่ยวข้องบางรายอาจมีความผิดทั้งในข้อหาฟอกเงินและอั้งยี่ ในขณะที่บางรายอาจมีความผิดเพียงข้อหาใดข้อหาหนึ่ง ซึ่งจะต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานทั้งหมดที่รวบรวมได้ อย่างไรก็ตาม คาดว่าการสรุปสำนวนคดีอาญาทั้งสองฐานความผิดนี้ จะสามารถดำเนินการได้ภายในกรอบเวลาของเดือนพฤษภาคมนี้เช่นเดียวกัน เนื่องจากพยานหลักฐานที่ใช้ในการพิจารณา ทั้งในส่วนที่ส่งให้ กกต. และในส่วนที่ใช้ดำเนินคดีอาญาของดีเอสไอ เป็นชุดพยานหลักฐานเดียวกัน
คณะพนักงานสอบสวนดีเอสไอย้ำว่า หาก กกต. ตรวจสอบแล้วพบว่ามี สว. ที่กระทำความผิดตามกฎหมายเลือกตั้ง และมีพฤติการณ์ที่เข้าข่ายการได้มาซึ่ง สว. ที่ไม่สุจริต หรือมีการฮั้วเกิดขึ้นจริง ไม่ว่าจะเป็น สว. ตัวจริงจำนวน 138 ราย หรือ สว. สำรอง 2 ราย ก็มีแนวโน้มที่จะถูก กกต. แจ้งดำเนินคดี และมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีความผิดในคดีอาญาของดีเอสไอด้วย
โดยเฉพาะความผิดฐานฟอกเงิน ซึ่งต้องพิจารณาเป็นรายกรรม โดยดูจากบทบาทของบุคคลในเส้นทางการเงินว่าเกี่ยวข้องกับเงินจำนวนเท่าใด มีการจ่าย รับ หรือโอนในช่วงเวลาใดบ้าง เนื่องจากพฤติการณ์การฮั้วสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในรูปแบบที่ใช้เงินและไม่ใช้เงิน อย่างไรก็ตาม หากบุคคลใดเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการดังกล่าว ไม่ว่าจะในรูปแบบใด ย่อมถือว่ามีความผิดทางกฎหมาย