ดีเอสไอเร่งปิดคดีฮั้วเลือก สว. ปี 67 ชี้พบหลักฐานโยง 140 คน เตรียมแจ้งข้อหา สิ้นเม.ย.นี้!
ความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ปี 2567 ยังคงเป็นที่จับตาของสังคมอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด กลุ่ม สว. สำรองได้ยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และขอเข้าพบผู้บริหาร กกต. อีกครั้ง เพื่อทวงถามความคืบหน้าการพิจารณาเรื่องร้องเรียนการเลือก สว. ที่ล่าช้า โดยเฉพาะประเด็นที่เชื่อว่ามีการทุจริตและสมคบคิดในลักษณะ ‘ฮั้ว’ กันเป็นกลุ่มก้อน ซึ่งมีพยานหลักฐานจำนวนมากปรากฏ
ข้อร้องเรียนจากกลุ่ม สว. สำรองนี้ยังพุ่งเป้าไปที่การปฏิบัติหน้าที่ของเลขาธิการ กกต. ว่าอาจบกพร่องหรือละเลยจนทำให้การเลือก สว. ไม่สุจริตเที่ยงธรรมตามที่ควรจะเป็นหรือไม่ ซึ่งเป็นประเด็นที่ กกต. ยังไม่ได้ชี้แจงหรือดำเนินการให้เกิดความกระจ่างและมีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม
อย่างไรก็ตาม ในอีกด้านหนึ่ง ความคืบหน้าของคดี ‘ฮั้วเลือก สว.’ ที่อยู่ภายใต้การสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กระทรวงยุติธรรม กลับมีความชัดเจนและน่าสนใจมากขึ้น
พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เปิดเผยถึงรายงานความคืบหน้าจากพนักงานสอบสวนดีเอสไอ ระบุว่าคดีมีความคืบหน้าไปมากและจะเร่งดำเนินการให้ทันภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนด โดยคาดว่าจะสามารถสรุปและดำเนินการในส่วนที่สำคัญได้ภายใน ‘สิ้นเดือนเมษายน 2568’ นี้
รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า ดีเอสไอได้รับข้อมูลของผู้สมัคร สว. กว่า 40,000 คนมาทั้งหมดแล้ว ซึ่งจากนี้ไปจะเป็นขั้นตอนของการวิเคราะห์หลักฐานเพื่อนำไปสู่กระบวนการแจ้งข้อกล่าวหา หรือการจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด และเตรียมส่งสำนวนฟ้องต่อศาลต่อไป
คดี ‘ฮั้วเลือก สว.’ ถูกยกระดับให้เป็นคดีพิเศษตามมติของคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ซึ่งการสอบสวนเริ่มต้นจากกรณีการสมคบคิดในความผิดฐานฟอกเงิน และขยายผลต่อเนื่องไปยังความผิดฐานอั้งยี่ซ่องโจร และความผิดที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของรัฐ
หลักฐานที่รวบรวมได้จนถึงขณะนี้ พบความเชื่อมโยงไปยังผู้ที่ได้รับเลือกเป็น สว. จำนวน 138 คน และผู้ที่เป็น สว. สำรองอีก 2 คน รวมทั้งสิ้น 140 คน โดยมีหลักฐานสำคัญคือ ‘โพย’ รายชื่อและหมายเลขที่เชื่อว่ามีการสมคบกันเพื่อลงคะแนนให้บุคคลตามรายชื่อดังกล่าว
การสอบสวนของดีเอสไอกำลังเข้าใกล้สู่ช่วงสำคัญ คือการดำเนินการตามกฎหมายกับผู้เข้าข่ายต้องสงสัยทั้ง 140 คน รวมถึงพิจารณาว่าจะมีบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องกับการสมคบคิดนี้ร่วมด้วยหรือไม่ เพื่อนำไปสู่กระบวนการพิสูจน์ข้อเท็จจริงในชั้นศาลต่อไป
นับเป็นคดีที่มีความสำคัญและอยู่ในความสนใจของประชาชนอย่างยิ่ง เพราะเกี่ยวข้องโดยตรงกับความสุจริตของการได้มาซึ่ง สมาชิกวุฒิสภา ซึ่งเป็นสถาบันทางการเมืองที่มีบทบาทสำคัญต่อระบบรัฐสภาและระบอบประชาธิปไตยของประเทศ การพิสูจน์ความจริงในคดีนี้ตามกระบวนการยุติธรรมจึงเป็นสิ่งจำเป็นและสังคมกำลังเฝ้ารอผลสรุปอย่างใกล้ชิด