ดีเอสไอ ยอมรับ 3 เจ้าหน้าที่สอบพยานคดี ‘อั้งยี่-ฮั้ว สว.’ ที่อำนาจเจริญ ปฏิเสธข่มขู่ ยันทำตามหน้าที่ ชี้อาจคลาดเคลื่อนกับการสื่อสารผู้ว่าฯ
กรุงเทพฯ – ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เมื่อเวลา 12.00 น. ของวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผู้อำนวยการกองคดีคุ้มครองผู้บริโภค ในฐานะโฆษกดีเอสไอ ได้ออกมาแถลงชี้แจงกรณีที่นายณรงค์ เทพเสนา ผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญ ทำหนังสือลับ ด่วนที่สุดถึงปลัดกระทรวงมหาดไทย รายงานเหตุกลุ่มบุคคลอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ลงพื้นที่สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) จำนวน 2 ราย
พ.ต.ต.วรณัน กล่าวว่า เบื้องต้นอธิบดีดีเอสไอได้รับทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว และได้ตรวจสอบพบว่า ทั้ง 3 ราย ที่ถูกกล่าวอ้างถึงนั้น เป็นเจ้าหน้าที่ของดีเอสไอจริง ซึ่งได้ลงพื้นที่ไปปฏิบัติหน้าที่ตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย โดยเป็นการสอบสวนคดีพิเศษในเรื่องของคดีอั้งยี่ กรณีการคัดเลือก สว. ซึ่งเป็นไปตามอำนาจหน้าที่ของดีเอสไอ
โฆษกดีเอสไอ กล่าวต่อว่า จากการสอบถามตัวเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน ได้รับการยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ได้มีการนัดหมายเพื่อสอบปากคำกับตัวพยานเพื่อขยายผลในคดี และได้มีการแสดงตนตามกฎหมาย พร้อมทั้งซักถามพยานตามกระบวนการ ซึ่งยืนยันว่า ไม่ได้มีการข่มขู่ หรือมีประเด็นอื่นใดที่เกี่ยวข้องตามที่ถูกกล่าวหา แต่ยอมรับว่า ในระหว่างการปฏิบัติภารกิจนั้น เจ้าหน้าที่ไม่ได้ทำการบันทึกภาพไว้
ส่วนประเด็นที่ไม่ได้แต่งเครื่องแบบในการปฏิบัติงาน พ.ต.ต.วรณัน ชี้แจงว่า การปฏิบัติหน้าที่ภาคสนามของดีเอสไอ ไม่จำเป็นต้องแต่งเครื่องแบบในทุกกรณี โดยการแต่งเครื่องแบบจะใช้ในกรณีของการตรวจค้น หรือการจับกุมเท่านั้น ซึ่งการสอบปากคำในวันเกิดเหตุนั้น เป็นเพียงการซักถามข้อมูล ไม่เข้าข่ายการตรวจค้นหรือจับกุมแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม พ.ต.ต.วรณัน ยอมรับว่า ในวันเกิดเหตุนั้น ตัวพยานไม่ได้แสดงความจำนง หรือไม่สมัครใจที่จะให้ข้อมูลอย่างเต็มที่ จึงทำให้ไม่ได้มีการบันทึกถ้อยคำไว้อย่างเป็นทางการ
เมื่อถูกถามถึงประเด็นที่ผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญ รายงานว่า กลุ่มบุคคลดังกล่าวได้เข้าไปในบ้านพักของอดีตผู้สมัคร สว. และถอดปลั๊กกล้องวงจรปิด พ.ต.ต.วรณัน กล่าวว่า ในส่วนของข้อกล่าวหาเรื่องการถอดปลั๊กกล้องวงจรปิดนั้น ดีเอสไอจะทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมอีกครั้ง
สำหรับขั้นตอนต่อไป โฆษกดีเอสไอ กล่าวว่า เนื่องจากตัวพยานได้ให้การพาดพิงถึงประเด็นต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทางดีเอสไอจึงจำเป็นจะต้องเรียกพยานทั้ง 2 รายที่ถูกอ้างถึง เข้ามาให้ข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติมในภายหลัง เพื่อทำการสอบสวนขยายผลต่อไป พร้อมทั้งจะตรวจสอบรายงานข้อเท็จจริงทั้งหมดอย่างละเอียดว่ามีข้อคลาดเคลื่อนตรงจุดใดบ้าง ส่วนพยานที่กล่าวอ้างว่าถูกข่มขู่ ก็มีสิทธิที่จะนำพยานหลักฐานมาแสดงเพื่อยืนยันข้อเท็จจริงได้
เมื่อถามว่า เหตุใดการสอบปากคำคดีฮั้ว สว. ทั่วประเทศ ถึงมีปัญหาขึ้นเฉพาะที่จังหวัดอำนาจเจริญ และมองว่าเป็นปัญหาความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานหรือไม่ พ.ต.ต.วรณัน แสดงความเห็นว่า ยังไม่มองว่าเป็นปัญหาความขัดแย้งโดยตรง แต่อาจเป็นเพียงความคลาดเคลื่อนในการสื่อสาร ซึ่งหลังจากนี้ ดีเอสไอจะต้องประสานงานและสื่อสารทำความเข้าใจกับการปฏิบัติงานกับหน่วยงานในพื้นที่ให้มากขึ้น
ส่วนเรื่องที่ผู้ว่าราชการจังหวัดสามารถรายงานตรงถึงปลัดกระทรวงมหาดไทยได้เลยหรือไม่นั้น พ.ต.ต.วรณัน ระบุว่าเป็นเรื่องกระบวนการภายในของกระทรวงมหาดไทย ตนไม่สามารถตอบแทนได้ และไม่คิดว่าเป็นการสกัดกั้นการทำงาน หรือการดิสเครดิตดีเอสไอ แต่เป็นการรายงานตามหน้าที่ ซึ่งข้อเท็จจริงอาจมีความคลาดเคลื่อนกันอยู่บ้าง
ท้ายสุด เมื่อถูกถามถึงความเป็นไปได้ในการพูดคุยระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้การทำงานร่วมกันในคดีฮั้ว สว. เป็นไปอย่างราบรื่น และไม่ให้ภาพที่ออกมาเหมือนขัดแย้งกันนั้น พ.ต.ต.วรณัน กล่าวว่า ไม่สามารถตอบแทนได้ แต่ในส่วนของดีเอสไอ ยืนยันว่าได้ทำหน้าที่ตามกฎหมาย และเชื่อว่าทุกฝ่ายจะต้องมีการสื่อสารและอธิบายทำความเข้าใจกันมากกว่านี้ โดยเน้นย้ำว่า การสอบสวนปากคำพยานของดีเอสไอเป็นไปอย่างโปร่งใส และเป็นไปตามอำนาจหน้าที่เสมอ