หมอแม่เตือน กลิ่นตัวไม่ใช่แค่เรื่องกลิ่น แต่อาจเป็นสัญญาณโรคระยะสุดท้ายได้! เผย ‘กลิ่นแก่’ มีจริง มาไวกว่าที่คิด

กรุงเทพฯ – นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หรือที่รู้จักกันในนาม ‘หมอแม่ Dr.mom’ ได้ออกมาให้ความรู้ที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในรายการ Tuck Talk กับ ตั๊ก มยุรา โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง ‘กลิ่นตัว’ ที่หลายคนอาจมองข้าม แต่แท้จริงแล้วอาจเป็นตัวบ่งชี้สำคัญถึงสุขภาพภายในร่างกาย และที่น่าตกใจคือ บางกลิ่นอาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรงในระยะสุดท้าย!

หมอแม่เผยว่า กลิ่นตัวของแต่ละบุคคลนั้นได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัย ตั้งแต่เรื่องของพันธุกรรม อย่างยีน เอบีซี11 (ABC11) ที่สัมพันธ์กับกรดอะมิโน ไกลซีน (Glycine) รวมถึงลักษณะขี้หูเปียก ซึ่งแนวโน้มจะมีกลิ่นตัวมากกว่าผู้ที่มีขี้หูแห้ง นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยบางชิ้นชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างยีนดังกล่าวกับการเป็นมะเร็งเต้านมชนิดที่ไม่ตอบสนองต่อเคมีบำบัด ซึ่งเป็นข้อมูลที่น่าสนใจอย่างยิ่ง

นอกจากปัจจัยทางพันธุกรรม กลิ่นตัวยังเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงอายุและระดับฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะในวัยทอง กลิ่นตัวจะแตกต่างออกไปอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

‘กลิ่นแก่’ เรื่องจริงที่ต้องใส่ใจ

ประเด็นที่หลายคนให้ความสนใจคือ ‘กลิ่นแก่’ ซึ่งมักจะเริ่มปรากฏเด่นชัดขึ้นเมื่ออายุประมาณ 40 ปีขึ้นไป หลายคนอาจสังเกตกลิ่นเฉพาะนี้ได้จากสถานที่ดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งถูกอธิบายว่าเป็นกลิ่นอับๆ คล้ายเทียนไข คล้ายเบียร์หมัก หรือคล้ายเฟอร์นิเจอร์เก่าๆ กลิ่นนี้จะยิ่งชัดเจนขึ้นตามวัย

หมอแม่อธิบายว่า กลิ่นแก่ไม่ได้มาจากความสกปรก แต่มาจากไขมันบนผิวหนัง โดยเฉพาะกรดไขมัน โอเมก้า 7 ที่มีปริมาณมากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น เมื่อไขมันเหล่านี้ทำปฏิกิริยา จะเกิดสารที่เรียกว่า 2-nonenal ซึ่งเป็นสารประเภทแอลดีไฮด์ ที่ก่อให้เกิดกลิ่นเฉพาะตัวนี้ ประกอบกับสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายที่ลดน้อยลงตามวัย ยิ่งส่งเสริมให้เกิดกลิ่นแก่ได้ง่ายขึ้น

ปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อกลิ่นตัวโดยรวม (รวมถึงกลิ่นแก่) ยังมาจากต่อมเหงื่อ ต่อมไขมัน ต่อมกลิ่น พันธุกรรม อาหารที่รับประทาน เช่น ผักที่มีซัลเฟอร์สูง (กะหล่ำ หอม กระเทียม) การรับประทานเนื้อแดงมากเกินไป รวมถึงการใช้ยาบางชนิด เช่น ยาฆ่าเชื้อ ยาลดไข้ ยาคลายเครียด หรือสารเสพติด

สำหรับคำถามที่ว่า คนอายุน้อยกว่า 40 ปี จะมีกลิ่นแก่ได้หรือไม่ หมอแม่กล่าวว่า อายุ 40 เป็นเพียงค่าประมาณ คนวัย 30 กว่าๆ ก็อาจมีกลิ่นแก่ได้เช่นกัน หากไม่ค่อยดูแลสุขภาพ หรือมีปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย

อย่างไรก็ตาม กลิ่นแก่ไม่ได้เป็นเรื่องน่าตกใจเสมอไป การมีกลิ่นแก่น้อยหรือไม่ปรากฏเด่นชัด แสดงว่าเราดูแลสุขภาพได้ดี ทั้งการออกกำลังกายที่ช่วยขับเหงื่อ การอบซาวน่า อาบน้ำอุ่น ที่ช่วยลดไขมันบนผิวหนัง รวมถึงการรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ก็มีส่วนช่วยชะลอและลดกลิ่นแก่ได้

กลิ่นตัวที่ต้องระวัง! สัญญาณโรคร้ายระยะสุดท้าย

ประเด็นที่น่ากังวลและเป็นข้อเตือนใจสำคัญคือ กลิ่นตัวที่ผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรงได้ แต่ส่วนใหญ่มักจะเป็นเมื่อโรคอยู่ในระยะที่รุนแรงแล้ว หรือระยะสุดท้าย เช่น:

  • โรคเบาหวาน (ระยะรุนแรง/ภาวะคีโตอะซิโดซิส): จะได้กลิ่นคล้ายน้ำยาล้างเล็บ กลิ่นผลไม้หอมหวานแบบเอียนๆ ซึ่งคือ กลิ่นคีโตน กลิ่นนี้เกิดขึ้นเมื่อร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้ จึงเผาผลาญไขมันแทน ทำให้เกิดสารคีโตนในปริมาณมาก การมีกลิ่นนี้บ่งชี้ว่าภาวะเบาหวานรุนแรงมาก จนบางรายอาจช็อกได้
  • โรคตับ: หากตับไม่สามารถเผาผลาญสารพิษได้ อาจมีกลิ่นสารพิษออกมา หรือในบางกรณีอาจมีกลิ่นคล้ายละมุด ซึ่งหากไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์ กลิ่นนี้อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าตับมีปัญหา
  • ท้องผูกรุนแรง: อาจมีกลิ่นเน่าๆ หรือกลิ่นไม่พึงประสงค์จากการหมักหมมของอาหารในลำไส้เป็นเวลานาน กลิ่นอาจออกทางลมหายใจ การเรอ หรือผายลม
  • ภาวะไตวาย: จะได้กลิ่นฉุนคล้ายแอมโมเนียอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าไตไม่สามารถขับของเสียออกจากร่างกายได้
  • ภาวะตับวาย/ตับแข็ง (ระยะสุดท้าย): เมื่อสารพิษจากตับขึ้นสมอง อาจมีกลิ่นเหม็น ขม สาบๆ ออกมา

หมอแม่ย้ำว่า ปัจจัยที่ทำให้เกิดกลิ่นตัวมีมากมาย ตั้งแต่เรื่องสุขอนามัย เชื้อแบคทีเรีย ไปจนถึงโรคภัยไข้เจ็บ ดังนั้น หากสังเกตพบกลิ่นตัวที่ผิดปกติและไม่หายไป แม้จะดูแลเรื่องความสะอาดแล้ว ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง ไม่ควรรอจนอาการหนัก เพราะกลิ่นที่ปรากฏมักเป็นสัญญาณเตือนเมื่อโรคเข้าสู่ระยะที่รุนแรงแล้ว

ข้อมูลนี้ถือเป็นอุทาหรณ์ที่ดีให้เราใส่ใจสัญญาณเล็กๆ น้อยๆ จากร่างกาย เพื่อสุขภาพที่ดีและห่างไกลจากโรคร้าย

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *