หมอเจด เตือน! ‘ท้องมาน’ ไม่ใช่แค่ลงพุง สัญญาณอันตรายของโรคตับและมะเร็งตับ ชี้ 6 อาการเด่นที่ต้องรีบเช็ก

หมอเจด เตือน! ‘ท้องมาน’ ไม่ใช่แค่ลงพุง สัญญาณอันตรายของโรคตับและมะเร็งตับ ชี้ 6 อาการเด่นที่ต้องรีบเช็ก

นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา หรือที่รู้จักกันในนาม “หมอเจด” ได้โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก “หมอเจด” เพื่อเตือนประชาชนให้สังเกตความผิดปกติของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง พร้อมระบุว่าการมี “พุงยื่น” อาจไม่ใช่แค่ปัญหาอ้วนลงพุงทั่วไป แต่เป็นสัญญาณเตือนของภาวะ “ท้องมาน” ซึ่งมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับโรคตับ และอาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรงอย่างมะเร็งตับได้

หมอเจดอธิบายว่า ภาวะ “ท้องมาน” (Ascites) คือการที่มีของเหลวสะสมอยู่ในช่องท้องมากเกินไป ทำให้หน้าท้องบวมโต ซึ่งแตกต่างอย่างชัดเจนกับภาวะอ้วนลงพุง (Central Obesity) ที่เกิดจากการสะสมของไขมันบริเวณหน้าท้อง โดยอ้วนลงพุงมักสัมพันธ์กับโรคเมตาบอลิก เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง แต่ท้องมานเป็นสัญญาณบ่งชี้ความผิดปกติของอวัยวะภายใน โดยเฉพาะตับ

แยกอย่างไร? ระหว่าง ‘อ้วนลงพุง’ กับ ‘ท้องมาน’

หมอเจดแนะวิธีสังเกตความแตกต่างง่ายๆ:

  • การสัมผัส: หากกดที่หน้าท้องแล้วนิ่ม เป็นไขมันสะสม คืออ้วนลงพุง แต่ถ้ากดแล้วรู้สึกตึง แข็ง และมีแรงดันเหมือนมีของเหลวอยู่ข้างใน อาจเป็นท้องมาน
  • ท่านอน: เมื่อนอนราบ หากพุงแผ่ออกไปด้านข้าง แสดงว่าเป็นการสะสมไขมัน แตกต่างจากท้องมานที่เมื่อนอนราบแล้วพุงจะยังคงป่องตั้งขึ้น ไม่ไหลไปด้านข้าง เนื่องจากมีของเหลวกักอยู่
  • อาการอื่นๆ ร่วมด้วย: ผู้ที่มีภาวะท้องมานมักมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น อ่อนเพลีย มือเท้าบวม หายใจลำบาก ตัวเหลือง ตาเหลือง รวมถึงการมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วผิดปกติโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน ซึ่งต่างจากอ้วนลงพุงที่มักไม่มีอาการผิดปกติอื่นนอกจากน้ำหนักตัวและรูปร่างที่เปลี่ยนแปลงไป

หากสังเกตพบอาการเหล่านี้ หรือมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่สัปดาห์โดยไม่ได้กินอาหารมากขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยให้แน่ชัดทันที เพราะท้องมานเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรงที่อันตรายมาก

6 อาการเด่นของ ‘ท้องมาน’ ที่ต้องรีบเช็ก

หมอเจดระบุ 6 อาการหลักที่เด่นชัดของภาวะท้องมาน:

  1. พุงโต บวม และรู้สึกจุกแน่นบริเวณหน้าท้อง
  2. มีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ซึ่งเป็นสัญญาณของปัญหาตับ
  3. หายใจลำบาก โดยเฉพาะเมื่อนอนราบ อาจต้องหนุนหมอนสูงเพื่อช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น
  4. มีอาการคลื่นไส้ เบื่ออาหาร หรือรู้สึกแน่นท้องแม้นกินอาหารไปเพียงเล็กน้อย
  5. อ่อนเพลียผิดปกติ และมีอาการมือเท้าบวม ซึ่งอาจเกิดจากโปรตีนในร่างกายต่ำ
  6. น้ำหนักขึ้นอย่างรวดเร็วผิดปกติ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินที่ชัดเจน

หากมีอาการในข้อใดข้อหนึ่งเหล่านี้ ไม่ควรละเลย ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาอย่างถูกต้อง การปล่อยทิ้งไว้อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายถึงชีวิตได้

ท้องมานเกิดจากอะไรได้บ้าง?

แม้ท้องมานจะสัมพันธ์กับโรคตับอย่างมาก แต่ก็สามารถเกิดจากสาเหตุอื่นได้เช่นกัน เช่น:

  • โรคตับแข็ง: มักเกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์หนัก หรือการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง
  • มะเร็งตับ: หากมีการขยายตัวของพุงอย่างรวดเร็ว อาจเป็นสัญญาณของมะเร็งตับ
  • ภาวะหัวใจล้มเหลว: ทำให้เกิดการคั่งของของเหลวในร่างกาย
  • ภาวะไตวาย: ไตไม่สามารถขับของเสียและน้ำส่วนเกินออกจากร่างกายได้
  • ภาวะไทรอยด์ต่ำ: อาจทำให้เกิดอาการบวมน้ำทั่วร่างกาย

หากท้องมานเกิดจากโรคตับ มักมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง หรือมีเส้นเลือดฝอยขึ้นตามตัว หากเป็นรุนแรงอาจเกิดการติดเชื้อในช่องท้องร่วมด้วย ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง

การรักษาและป้องกัน ‘ท้องมาน’ และดูแลสุขภาพตับ

การรักษาภาวะท้องมานขึ้นอยู่กับสาเหตุ หากเกิดจากตับแข็ง การควบคุมอาหาร (ลดเกลือ จำกัดน้ำ) และการใช้ยาขับปัสสาวะจะช่วยได้ หากเกิดจากมะเร็ง อาจต้องพิจารณาการทำเคมีบำบัดหรือการเจาะระบายของเหลว สำหรับภาวะที่เกิดจากไตวายหรือหัวใจล้มเหลว การรักษาโรคต้นเหตุเป็นสิ่งสำคัญ

การดูแลตนเองเมื่อเป็นท้องมานรวมถึงการลดปริมาณเกลือในอาหาร การควบคุมปริมาณน้ำดื่ม (ตามคำแนะนำแพทย์) การใช้ยาขับปัสสาวะภายใต้การดูแลของแพทย์ และในกรณีที่มีของเหลวสะสมมากจนแน่นท้อง อาจต้องทำการเจาะระบายน้ำออก การรักษาในระยะยาวสำหรับโรคตับแข็งรุนแรงอาจรวมถึงการพิจารณาปลูกถ่ายตับ

สำหรับวิธีป้องกันและดูแลสุขภาพตับ ทำได้ง่ายๆ ดังนี้:

  • หลีกเลี่ยงหรือลดการดื่มแอลกอฮอล์: เพราะแอลกอฮอล์เป็นสาเหตุสำคัญของโรคตับแข็ง
  • ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม: ช่วยลดความเสี่ยงภาวะไขมันพอกตับ
  • เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพตับ: เน้นผัก ผลไม้ และลดอาหารรสจัด อาหารทอด อาหารมัน และอาหารเค็มจัด
  • ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ: โดยเฉพาะชนิดบี ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคตับแข็งและมะเร็งตับ
  • ตรวจสุขภาพเป็นประจำ: โดยเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ หรือมีประวัติโรคตับในครอบครัว
  • พิจารณาเสริมสารอาหารที่ช่วยดูแลตับ: เช่น วิตามินอี ซึ่งอาจช่วยลดการอักเสบในตับ หรือโคลีน (Choline) ซึ่งช่วยลดไขมันสะสมในตับ ลดความเสี่ยงไขมันพอกตับ

หมอเจดทิ้งท้ายว่า การสังเกตอาการและดูแลสุขภาพตับเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง พุงใหญ่ไม่ได้แปลว่าอ้วนเสมอไป หากพบอาการพุงตึง กดแล้วแน่น หายใจลำบาก หรือมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วยตามที่กล่าวมา ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษา อย่าปล่อยทิ้งไว้ เพราะการดูแลตับให้ดีตั้งแต่เนิ่นๆ คือการป้องกันโรคร้ายแรงที่จะตามมา

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *