ผู้ต้องสงสัย ‘อุ้มหาย’ ดีเจเตเต้ เครียดจัดปัดกล้องนักข่าว – ตร.เร่งสอบปม ‘รอยกัด’ เตรียมเทียบ DNA พ่อ
กาญจนบุรี – ความคืบหน้ากรณีการหายตัวไปอย่างปริศนาของนายวราพงษ์ ขุนศรีจตุรงค์ หรือ ดีเจเตเต้ วัย 33 ปี ที่ถูกกลุ่มบุคคลขับรถตามประกบก่อนอุ้มตัวหายสาบสูญ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวผู้ต้องสงสัยสองรายมาสอบปากคำอย่างเข้มข้น โดยหนึ่งในผู้ต้องสงสัยมีอาการเครียดจัดถึงขั้นปัดกล้องนักข่าว พร้อมพบรอยคล้ายถูกกัดที่แขน ซึ่งอาจเป็นกุญแจสำคัญของคดี
เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 16 พฤษภาคม 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนคลี่คลายคดี ได้นำตัวนายกุน และนายธนเดช ซึ่งถูกระบุว่าเป็นผู้ต้องสงสัยว่าอาจมีความเกี่ยวข้องกับการอุ้มตัวดีเจเตเต้ มาสอบปากคำอย่างละเอียด ณ สถานีตำรวจภูธรเมืองกาญจนบุรี หลังทั้งสองถูกดำเนินคดีในข้อหาเสพสารเสพติด โดยข้อมูลเบื้องต้นพบว่า นายกุนเป็นเจ้าของรถยนต์กระบะคันที่ปรากฏในคลิปวันเกิดเหตุ ขณะที่นายธนเดช ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับนายกุน เป็นผู้นำรถคันดังกล่าวมาใช้และเป็นผู้จ่ายค่างวด
ระหว่างการสอบปากคำที่ใช้เวลานานหลายชั่วโมง นายธนเดชมีอาการเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด ได้ขออนุญาตเจ้าหน้าที่ตำรวจออกมาเข้าห้องน้ำ หลังทำธุระเสร็จสิ้น ขณะกำลังเดินกลับเข้าห้องสอบสวน สื่อมวลชนซึ่งรอติดตามข่าวได้พยายามสอบถามถึงความเกี่ยวข้องกับคดี แต่ปรากฏว่า นายธนเดชได้เดินฝ่าวงล้อมผู้สื่อข่าวพร้อมใช้แขนปัดกล้องของผู้สื่อข่าวจนเกือบตกลงพื้น สร้างความตกใจให้กับผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้าควบคุมตัวนายธนเดชกลับเข้าไปในห้องสอบสวนเพื่อสงบสติอารมณ์
สิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสังเกตพบเพิ่มเติม คือ ที่บริเวณแขนขวาของนายธนเดช พบรอยคล้ายถูกฟัน หรือถูกกัด ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้บันทึกไว้เป็นหลักฐานสำคัญ และได้ประสานไปยังนายวิเชียร คุณพ่อของดีเจเตเต้ ให้เดินทางมายังสถานีตำรวจ เพื่อเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอ (DNA) ไปเปรียบเทียบกับรอยกัดที่พบบนแขนของนายธนเดช เพื่อตรวจสอบว่ามีความเชื่อมโยงกันหรือไม่ ซึ่งหากผลการตรวจดีเอ็นเอมีความตรงกัน อาจเป็นกุญแจสำคัญในการไขปริศนาคดีนี้ และนำไปสู่การเปิดเผยความจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับดีเจเตเต้
ทางด้านนายวิเชียร คุณพ่อของดีเจเตเต้ ได้เดินทางมาที่สถานีตำรวจตามที่ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ โดยให้ข้อมูลว่า วันนี้เดินทางมารับรถยนต์ของลูกชายที่ทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจเก็บหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์เสร็จเรียบร้อยแล้ว นายวิเชียรยอมรับว่า ในช่วงแรก ตนค่อนข้างหมดหวังที่จะได้เจอลูกอีกครั้ง แต่เมื่อเห็นสื่อมวลชนเข้ามาช่วยติดตามทำข่าวอย่างใกล้ชิด และเห็นถึงการทำงานอย่างเต็มที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำให้ตนเองเริ่มมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง
คุณพ่อยอดดีเจเตเต้ยังเปิดเผยอีกว่า ในวันนี้ ก่อนที่จะเดินทางมาพบตำรวจ ตนได้ไปทำบุญและพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอพร ซึ่งคำตอบที่ได้มาก็ยิ่งทำให้ตนเองรู้สึกมีความหวังมากขึ้น และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้พบหน้าลูกชายอีกครั้งอย่างปลอดภัยโดยเร็วที่สุด ขณะที่การสอบสวนผู้ต้องสงสัยทั้งสองรายยังคงดำเนินไปอย่างเคร่งเครียด เพื่อคลี่คลายคดีการหายตัวไปของดีเจเตเต้ให้กระจ่างโดยเร็วที่สุด