“กรมทรัพย์สินทางปัญญา” ผนึกกำลัง “ท็อปส์ มาร์เก็ต” ดัน “ลิ้นจี่นครพนม” GI สู่ตลาดใหญ่ สร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลไม้เมืองพระธาตุพนม
นครพนม – กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ เดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนตามนโยบายซอฟต์ พาวเวอร์ของรัฐบาล นำโดย นางสาวนุสรา กาญจนกูล อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ได้ลงพื้นที่จังหวัดนครพนม เพื่อเยี่ยมชมและสนับสนุนแหล่งผลิต “ลิ้นจี่นครพนม” ซึ่งเป็นสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indication หรือ GI) ที่มีชื่อเสียงของจังหวัด
สินค้า GI ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจท้องถิ่น เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีอัตลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว เชื่อมโยงกับพื้นที่ แหล่งผลิต ภูมิปัญญาท้องถิ่น รวมถึงสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศ ทำให้มีคุณภาพและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ ปัจจุบันประเทศไทยมีสินค้าที่ขึ้นทะเบียน GI แล้วถึง 230 สินค้าทั่วประเทศ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมกว่า 77,000 ล้านบาทต่อปี และช่วยสร้างรายได้ที่ยั่งยืนให้กับชุมชนต่างๆ
ในการลงพื้นที่จังหวัดนครพนมครั้งนี้ กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้พบปะและพูดคุยกับกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตลิ้นจี่นครพนม เพื่อรับฟังความคิดเห็นและปัญหา พร้อมทั้งให้คำแนะนำเกี่ยวกับการควบคุมคุณภาพตามมาตรฐานสินค้า GI เพื่อรักษาชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์
นอกจากนี้ กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้สร้างความร่วมมือกับกลุ่มพันธมิตรค้าปลีกชั้นนำอย่าง ตลาดจริงใจ ฟาร์มเมอร์มาร์เก็ต และ ท็อปส์ มาร์เก็ต ในการรับซื้อลิ้นจี่นครพนมคุณภาพ GI โดยตรงจากเกษตรกร เพื่อนำไปกระจายและจำหน่ายในสาขาทั่วประเทศ เป็นการเปิดช่องทางการตลาดใหม่ๆ ทั้งในรูปแบบออฟไลน์และออนไลน์
นางสาวนุสรา กล่าวว่า การสนับสนุนการขยายช่องทางการตลาดนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง นอกจากการเชื่อมโยงเกษตรกรกับผู้บริโภคโดยตรงแล้ว กรมฯ ยังได้ส่งเสริมการสร้างการรับรู้ถึงคุณค่าและความพิเศษของลิ้นจี่นครพนม GI รวมถึงสนับสนุนการพัฒนาการออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้มีความน่าสนใจและทันสมัยมากขึ้น
“ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และเกษตรกรครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มมูลค่าเพิ่มให้กับลิ้นจี่นครพนม เพิ่มโอกาสทางการค้าให้กับทั้งผู้ผลิตและผู้ประกอบการ ส่งผลโดยตรงต่อการสร้างรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนให้กับพี่น้องเกษตรกรผู้ปลูกลิ้นจี่ในจังหวัดนครพนม ตอกย้ำให้เห็นว่า สินค้า GI คือพลังขับเคลื่อนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ” นางสาวนุสรา กล่าวทิ้งท้าย
การดำเนินการดังกล่าวไม่เพียงแต่ช่วยยกระดับสินค้าเกษตรให้มีมูลค่าสูงขึ้น แต่ยังเป็นการต่อยอดนโยบายซอฟต์ พาวเวอร์ของรัฐบาลผ่านสินค้าอัตลักษณ์พื้นถิ่น สร้างความภาคภูมิใจให้กับชุมชน และส่งเสริมให้ผู้บริโภคได้เข้าถึงสินค้าเกษตรคุณภาพจากแหล่งผลิตโดยตรง