น่าห่วง! กรมควบคุมโรค เผยสถานการณ์ ‘ไข้หมูดิบ’ พุ่งสูง ป่วย 310 ราย ดับ 13 ศพ ชี้แนวโน้มเพิ่มต่อเนื่อง เตือนประชาชนเลี่ยงเนื้อหมูสุกๆ ดิบๆ

กรมควบคุมโรคเปิดเผยสถานการณ์โรคไข้หมูดิบ (หรือไข้หูดับ) ที่น่าเป็นห่วง โดยพบผู้ป่วยสะสมแล้ว 310 ราย และมีผู้เสียชีวิต 13 ราย ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 6 พฤษภาคม 2568 โฆษกกรมควบคุมโรคระบุจำนวนผู้ป่วยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี เตือนประชาชนให้เพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษในการรับประทานเนื้อหมูแบบสุกๆ ดิบๆ รวมถึงการป้องกันการติดเชื้อผ่านทางบาดแผลที่ผิวหนัง

เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 นายแพทย์วีรวัฒน์ มโนสุทธิ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ โฆษกกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้กล่าวถึงสถานการณ์โรคไข้หูดับ ซึ่งท่านได้อธิบายว่าโรคไข้หูดับนั้นคือโรคเดียวกันกับ “โรคไข้หมูดิบ” การตั้งชื่อโรคใหม่นี้เพื่อให้ประชาชนตระหนักว่าโรคนี้มีหมูเป็นพาหะนำโรคหลัก

สถานการณ์ล่าสุดของโรคไข้หูดับ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม จนถึงวันที่ 6 พฤษภาคมที่ผ่านมา พบผู้ติดเชื้อแล้วจำนวน 310 ราย และมีผู้เสียชีวิตถึง 13 ราย โดยพบผู้ป่วยกระจายอยู่ในหลายจังหวัด โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดที่พบผู้ป่วยมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ อุบลราชธานี สุรินทร์ มุกดาหาร ศรีสะเกษ และตาก ตามลำดับ

นายแพทย์วีรวัฒน์ ได้เปิดเผยข้อมูลเชิงสถิติย้อนหลัง เพื่อชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มของโรคนี้ โดยข้อมูลเฉลี่ย 5 ปี ตั้งแต่ปี 2562-2566 พบผู้ป่วยเฉลี่ยปีละ 416 ราย และเสียชีวิตเฉลี่ยปีละ 22 ราย แต่เมื่อดูข้อมูล 3 ปีล่าสุด จะพบว่าจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ในปี 2565 พบผู้ป่วย 383 ราย เสียชีวิต 10 ราย ปี 2566 มีผู้ป่วย 605 ราย เสียชีวิต 34 ราย และที่น่าเป็นห่วงคือในปี 2567 พบผู้ป่วยสูงถึง 956 ราย และเสียชีวิต 59 ราย ซึ่งตัวเลขในปี 2568 นี้ก็ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน

จากข้อมูลดังกล่าว ทำให้ต้องมีการเพิ่มความระมัดระวังอย่างยิ่งในการบริโภคเนื้อหมู โดยเฉพาะการปรุงที่ไม่สุกเต็มที่ อย่างไรก็ตาม กรมควบคุมโรคได้มีการออกคำแนะนำและเตือนประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความตระหนักถึงอันตรายของโรค โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนค่านิยมการรับประทานเนื้อหมูแบบสุกๆ ดิบๆ และการเลือกซื้อเนื้อหมูจากแหล่งผลิตที่ได้มาตรฐานเท่านั้น

นายแพทย์วีรวัฒน์ อธิบายเพิ่มเติมถึงช่องทางการติดเชื้อไข้หูดับว่า ไม่ได้มีเพียงแค่การรับประทานเนื้อหมูที่ไม่สุกเท่านั้น แต่ยังสามารถติดเชื้อจากการสัมผัสผ่านบาดแผลที่ผิวหนังได้อีกด้วย ดังนั้น แม้จะปรุงเนื้อหมูสุกแล้ว แต่หากมีการปนเปื้อนระหว่างกระบวนการเตรียมหรือทำอาหาร ก็อาจทำให้ติดเชื้อได้ จึงเน้นย้ำให้ระมัดระวังทั้งผู้บริโภค ผู้จำหน่ายเนื้อ รวมถึงการแยกอุปกรณ์ในการคีบหรือหยิบจับหมูดิบและหมูสุกออกจากกัน

กลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสติดเชื้อได้สูงกว่าคนทั่วไป ได้แก่ ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน โรคไต โรคตับ หรือผู้ที่มีประวัติโรคพิษสุราเรื้อรัง อาการสำคัญที่อาจเกิดขึ้นหลังได้รับเชื้อในระยะแรกคืออาการทั่วไปของระบบประสาท เช่น มีไข้ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ และบางรายอาจมีอาการทางระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน หรือถ่ายเหลว

“อาการได้ยินลดลง หรือหูดับ เป็นอาการสำคัญประการหนึ่งของโรคไข้หูดับ แต่ไม่ใช่ผู้ป่วยทุกรายจะมีอาการนี้เสมอไป ดังนั้น หากมีประวัติเสี่ยงสัมผัสเชื้อ ไม่ว่าจะเป็นการกินเนื้อหมูสุกๆ ดิบๆ หรือการสัมผัสเนื้อหมูผ่านบาดแผลที่ผิวหนัง แม้จะยังไม่มีอาการหูดับ ก็ควรให้ความสำคัญกับประวัติการสัมผัสโรคเป็นหลัก” นายแพทย์วีรวัฒน์ กล่าว

ท่านเน้นย้ำทิ้งท้ายว่า หากมีประวัติสัมผัสเสี่ยงดังกล่าวร่วมกับอาการไม่สบายใดๆ ที่เข้าข่ายอาการของโรค ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยทันที ซึ่งการวินิจฉัยโรคไข้หูดับทำได้โดยการเจาะเลือด หรือการเจาะน้ำไขสันหลังเพื่อนำไปตรวจเพาะเชื้อทางห้องปฏิบัติการ การรีบเข้าถึงการรักษาจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงและเสียชีวิตได้

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *