กรมควบคุมโรค ยัน โควิด-19 พุ่งหลังสงกรานต์ เป็นไปตามคาด ไม่ได้รุนแรงขึ้น เน้นกลุ่มเสี่ยงรับวัคซีน

กรุงเทพฯ – กรมควบคุมโรคออกมายืนยันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยช่วงหลังเทศกาลสงกรานต์ว่า ตัวเลขผู้ป่วยที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้และไม่ได้มีความรุนแรงเพิ่มขึ้นจากเดิม พร้อมย้ำให้ประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงเข้ารับวัคซีนป้องกันโควิด-19 เป็นประจำทุกปี

นายแพทย์วีรวัฒน์ มโนสุทธิ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ ในฐานะโฆษกกรมควบคุมโรค เปิดเผยข้อมูลสถานการณ์โควิด-19 ประจำสัปดาห์ (วันที่ 4-8 พฤษภาคม 2568) ว่า ได้รับรายงานผู้ป่วยรวม 7,013 ราย และมีผู้เสียชีวิต 1 ราย โดยกลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยสูงสุดคือ 0-4 ปี รองลงมาคือ 30-39 ปี และ 20-29 ปี ตามลำดับ ขณะที่ผู้เสียชีวิตเป็นผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป

สำหรับข้อมูลสะสมตั้งแต่ต้นปี 2568 (1 มกราคม – 8 พฤษภาคม) พบผู้ป่วยสะสมรวม 41,197 ราย และมีผู้เสียชีวิตสะสม 15 ราย ซึ่งกรมควบคุมโรคได้มีการพยากรณ์และแจ้งเตือนสถานการณ์ล่วงหน้าเป็นระยะมาตั้งแต่ช่วงปีใหม่ โดยเฉพาะในช่วงหลังสงกรานต์ที่คาดว่าจะพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้น

นายแพทย์วีรวัฒน์ อธิบายว่า การพบผู้ป่วยจำนวนมากในช่วงนี้สอดคล้องกับข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี (พ.ศ. 2563–2567) ซึ่งพบว่าในช่วงสัปดาห์ที่ 18–21 หรือประมาณเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายนของทุกปี มักจะมีจำนวนผู้ป่วยสูงขึ้น ดังนั้น ตัวเลขผู้ป่วยที่พบในปัจจุบันจึงไม่ได้เกินความคาดหมายที่กรมควบคุมโรคได้ประเมินไว้

ในส่วนของสายพันธุ์ที่พบในปัจจุบัน นายแพทย์วีรวัฒน์ ระบุว่าเป็นสายพันธุ์ XEC ซึ่งมีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้น แต่ยืนยันว่าสายพันธุ์นี้ไม่ได้ทำให้โรครุนแรงขึ้น เพียงแต่มีคุณสมบัติในการแพร่กระจายได้เร็วกว่าเดิม ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติของไวรัสที่ปรับตัว

“ขออย่าตื่นตระหนกในการที่มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น” นายแพทย์วีรวัฒน์ กล่าวย้ำ พร้อมเสริมว่า อัตราการป่วยตายยังคงอยู่ในระดับปกติ โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่พบยังเป็นกลุ่มเด็ก แต่ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ยังคงเป็นผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นรูปแบบการระบาดของโควิด-19 ที่คงที่ ไม่ใช่ความผิดปกติแต่อย่างใด

เมื่อเปรียบเทียบอัตราป่วยตายของโควิด-19 ในปี 2568 กับปี 2567 ซึ่งมีอัตราอยู่ที่ประมาณ 0.03% พบว่าใกล้เคียงกัน ข้อมูลนี้ยืนยันได้ว่าความรุนแรงของโรคไม่ได้เพิ่มขึ้น แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์บ้าง นอกจากนี้ หากเทียบกับโรคไข้หวัดใหญ่ซึ่งมีอัตราป่วยตายอยู่ที่ 0.01% พบว่าโควิด-19 ยังมีอัตราสูงกว่าประมาณ 3 เท่า แต่อัตราทั้งสองโรคก็ถือว่าต่ำมาก

สำหรับการป้องกันและดูแลตนเอง นายแพทย์วีรวัฒน์ แนะนำให้กลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป เด็กเล็ก และผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว ควรตรวจ ATK หากมีอาการป่วย เพื่อจะได้พบแพทย์และรับยาต้านไวรัสได้อย่างรวดเร็ว ส่วนประชาชนทั่วไปที่ต้องการตรวจเพื่อป้องกันโรคก็สามารถทำได้

ในเรื่องวัคซีนป้องกันโควิด-19 คณะกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันแห่งชาติและราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ได้ออกคำแนะนำให้กลุ่มเสี่ยงรับวัคซีนปีละ 1 เข็ม เพื่อลดความเสี่ยงการเจ็บป่วยรุนแรงและเสียชีวิต ส่วนประชาชนทั่วไปที่มีสุขภาพแข็งแรงและเคยรับวัคซีนมาแล้ว แม้ภูมิคุ้มกันจะลดลง แต่ยังคงสามารถป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรงได้

ด้านนายแพทย์นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ กล่าวเสริมว่า ขณะนี้วัคซีนโควิด-19 ส่วนใหญ่ไม่อยู่ในสิทธิประโยชน์การสร้างเสริมป้องกันโรคของภาครัฐแล้ว แต่มีให้บริการในภาคเอกชน อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังคงมีการวิจัยและพัฒนาวัคซีนต้นแบบเพื่อเตรียมรับมือกับสายพันธุ์ที่อาจเปลี่ยนแปลงในอนาคต

นายแพทย์นคร กล่าวทิ้งท้ายว่า โดยรวมแล้วความรุนแรงของเชื้อไวรัสโควิด-19 มีแนวโน้มลดลงตามธรรมชาติ และประชากรส่วนใหญ่มีภูมิคุ้มกันแล้ว ทำให้สถานการณ์คล้ายคลึงกับการระบาดของไข้หวัดใหญ่ที่ต้องมีการฉีดวัคซีนประจำปี แต่เนื่องจากในช่วงโควิด-19 ระบาดรุนแรง ผู้คนมีการป้องกันตัวสูง ทำให้ภูมิคุ้มกันต่อไข้หวัดใหญ่ในประชากรลดลง ดังนั้น จึงสังเกตได้ว่าในปี 2567 และปีนี้ มีแนวโน้มพบผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจมีความรุนแรงมากกว่าโควิด-19 ในปัจจุบันเสียอีก

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *