ซีพีเอฟ เผยผลประกอบการ Q1/68 กำไรพุ่ง 6 เท่า ทะลุ 8.5 พันล้านบาท ชูธงระบบป้องกันโรคและการปรับตัว

กรุงเทพฯ – บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ประกาศผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 ทำกำไรสุทธิสูงถึง 8,549 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 642% หรือกว่า 6 เท่าตัว เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนศักยภาพและความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจภายใต้สภาวะแวดล้อมที่ท้าทาย

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานที่โดดเด่นในไตรมาสแรกของปีนี้ มาจากหลายปัจจัยสำคัญ ทั้งความสามารถในการปรับตัวต่อสถานการณ์เศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงความเคร่งครัดในการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยทางชีวภาพและระบบป้องกันโรคในฟาร์มอย่างเข้มงวด ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งท่ามกลางการระบาดของโรคในสัตว์ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก

ปัจจัยหลักที่ส่งผลให้ผลประกอบการดีกว่าเป้าหมายที่คาดไว้ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศที่ซีพีเอฟเข้าไปลงทุนกว่า 10 ประเทศทั่วโลก มาจากการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนตลอดห่วงโซ่อุปทาน ประกอบกับสถานการณ์การระบาดของโรคสัตว์ โดยเฉพาะไข้หวัดนกที่กระจายไปในหลายประเทศ และโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ที่ยังคงมีอยู่ในหลายพื้นที่ ทำให้ปริมาณผลผลิตไก่และสุกรในตลาดโดยรวมมีน้อยกว่าปกติ นอกจากนี้ ราคาวัตถุดิบยังคงอยู่ในฐานที่ยังไม่สูงเกินไปนัก ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลดีต่อผลกำไรของบริษัท

นายประสิทธิ์กล่าวเสริมว่า ผลประกอบการที่ยอดเยี่ยมนี้เป็นบทพิสูจน์ถึงความทุ่มเทของทีมงานซีพีเอฟทั่วโลก และความสามารถในการปรับตัวอย่างยั่งยืนในทุกสภาพแวดล้อม การลงทุนอย่างต่อเนื่องในด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี รวมถึงการนำระบบ IT มาใช้ในการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบกับความมุ่งมั่นในการยกระดับความปลอดภัยทางชีวภาพและการป้องกันโรคในการเลี้ยงสัตว์อย่างเป็นระบบ เป็นปัจจัยสำคัญที่เสริมความแข็งแกร่งให้กับองค์กรตลอดห่วงโซ่อุปทาน ทำให้บริษัทสามารถรักษาเสถียรภาพในการผลิตและสร้างความมั่นใจในคุณภาพสินค้าให้กับผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่อง

สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานทั้งปี 2568 นายประสิทธิ์คาดการณ์ว่าจะดีกว่าปีที่ผ่านมา ด้วยปัจจัยบวกต่างๆ ที่บริษัทได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง และอุตสาหกรรมโดยรวมมีการปรับสมดุลจากความท้าทายในอดีต ในส่วนของประเด็นความปั่นป่วนจากเรื่องภาษีของประเทศสหรัฐอเมริกา ยืนยันว่าไม่ได้มีผลกระทบกับซีพีเอฟอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากซีพีเอฟมีการลงทุนในธุรกิจอาหารพื้นฐานที่ประชาชนเข้าถึงได้ง่ายและมีราคาไม่แพง มีฐานการผลิตอยู่ในกว่า 10 ประเทศและเน้นการขายในประเทศนั้นๆ เป็นหลัก ขณะที่บริษัทพึ่งพาการส่งออกเพียงประมาณ 4-5% โดยการส่งออกส่วนใหญ่จะไปยังประเทศในภูมิภาคเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น และกลุ่มประเทศยุโรปเป็นหลัก มีการส่งออกไปสหรัฐอเมริกาในสัดส่วนที่น้อยมากเพียงประมาณ 0.3% เท่านั้น

ทั้งนี้ จากภาวะโรคระบาดที่เกิดขึ้นในการเลี้ยงสัตว์ในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงการกลับมาของโควิดในช่วงที่ผ่านมา ผู้บริหารซีพีเอฟทุกคนยังคงให้ความสำคัญสูงสุดกับการบริหารงานภายใต้แนวทางการบริหารความเสี่ยงรอบด้าน การพิจารณาลงทุนในธุรกิจที่มีแนวโน้มที่ดีที่ชัดเจน และที่สำคัญที่สุดคือการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในการผลิต การป้องกันโรคระบาดตลอดห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงมาตรฐานความปลอดภัยด้านอาชีวอนามัยในการดำเนินงานอย่างครอบคลุม เพื่อความยั่งยืนของธุรกิจและสุขภาพที่ดีของพนักงานทุกคน

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *