เครือซีพี ขยายผล “ป่าปลอดเผา” เฟส 2 ครอบคลุม 10 ป่าชุมชนเวียงแหง มุ่งแก้ปัญหาหมอกควัน สร้างรายได้ยั่งยืน
เครือซีพี เดินหน้าขยาย “ป่าปลอดเผา” เฟส 2 สู่ 10 ป่าชุมชนเวียงแหง: โมเดลแก้ปัญหาหมอกควัน สร้างรายได้ ลด PM2.5 อย่างยั่งยืน
เชียงใหม่, [ใส่วันที่ปัจจุบัน] – เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ประกาศเดินหน้าขยายผลโครงการ “ป่าปลอดเผา” สู่เฟสที่ 2 โดยเพิ่มพื้นที่เป้าหมายเป็น 10 ป่าชุมชนในอำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ ต่อยอดความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมจากโครงการนำร่องในสองปีที่ผ่านมา ซึ่งไม่เพียงช่วยลดปัญหาการเผา ลดฝุ่น PM2.5 และหมอกควัน แต่ยังสร้างรายได้จากการแปรรูปใบไม้แห้งให้กับชุมชน นำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาว
บูรณาการความร่วมมือ แก้ปัญหาหมอกควันอย่างยั่งยืน
โครงการ “ป่าปลอดเผา” เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายด้านความยั่งยืนของเครือซีพี ที่มุ่งบรรเทาปัญหาหมอกควันและฝุ่นละออง PM2.5 ในภาคเหนืออย่างบูรณาการ ด้วยการผนึกกำลังความร่วมมือจากภาคเอกชน ภาครัฐ ภาควิชาการ (นำโดยมหาวิทยาลัยแม่โจ้) และประชาชนในพื้นที่อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่
เป้าหมายหลักของโครงการคือการลดสาเหตุของการเกิดไฟป่า ลดฝุ่นพิษ PM2.5 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผ่านการส่งเสริมให้ชุมชนนำเศษใบไม้แห้งและวัสดุเหลือใช้ในป่ามาแปรรูปเป็นปุ๋ยอินทรีย์ แทนการเผาทิ้ง ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยลดเชื้อเพลิงและจุดความร้อน แต่ยังเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มจากทรัพยากรในท้องถิ่น ลดต้นทุนในการทำการเกษตร และสร้างรายได้เสริมให้กับชุมชน พร้อมทั้งปลูกฝังจิตสำนึกในการดูแลและอนุรักษ์ป่าชุมชนอย่างยั่งยืน
ความสำเร็จจากเฟสแรก: ลดการเผา สร้างรายได้ ลดก๊าซเรือนกระจก
โครงการ “ป่าปลอดเผา” เฟสแรก เริ่มนำร่องในปี 2566 ใน 6 ป่าชุมชนบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา ของอำเภอเวียงแหง ประกอบด้วย บ้านสามปู, บ้านมหาธาตุ, บ้านแม่หาด, บ้านปางป๋อ, บ้านป่าไผ่ และบ้านห้วยหก โดยมีผลลัพธ์ที่น่าประทับใจ อาทิ:
- สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 102.97 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า เทียบเท่ากับการเผาเศษใบไม้
- แปรรูปใบไม้แห้งได้กว่า 84 ตัน
- ลดจุดความร้อน (Hot Spot) และการเกิดหมอกควันไฟป่าได้อย่างมีนัยสำคัญ
- สร้างรายได้และส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนภายในชุมชน
วิสัยทัศน์ Net Zero 2030 และความสำคัญของ “ป่าปลอดเผา”
นายจอมกิตติ ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหาร ผู้บริหารสูงสุดด้านพัฒนาความยั่งยืนภาครัฐและกิจการสัมพันธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า โครงการป่าปลอดเผาเป็นกลไกสำคัญภายใต้วิสัยทัศน์ Net Zero 2030 ของเครือซีพี ตามนโยบายของนายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ โดยเชื่อมั่นว่าการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนต้องเริ่มต้นจากรากฐานของชุมชน การจัดการใบไม้แห้งอย่างเป็นระบบเป็นจุดเริ่มต้นของการลดเชื้อเพลิง ลดไฟป่า หมอกควัน และก๊าซเรือนกระจกอย่างยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กรในการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2030 และเดินหน้าสู่ Net Zero ในปี 2050 รวมถึงเป้าหมาย Zero Waste โครงการนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า หากมีการบริหารจัดการที่ดีและได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน “ป่าปลอดเผา” สามารถต่อยอดเป็นโมเดลระดับประเทศในการจัดการหมอกควันไฟป่า พลิกฟื้นป่า สร้างอากาศดี และยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนได้อย่างเป็นรูปธรรม
งานวิจัยรับรองผล และเสียงสะท้อนจากชุมชน
เครือซีพีร่วมกับมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ทำการศึกษาวิจัย “การลดก๊าซเรือนกระจกจากการผลิตปุ๋ยอินทรีย์แบบไม่พลิกกลับกองจากเศษใบไม้ในป่าชุมชนพื้นที่ อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่” ซึ่งได้รับการรับรองตามวิธีการคำนวณของ อบก. และพบว่าสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ 102.97 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า จนได้รับรางวัลบทความยอดเยี่ยมด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อความเป็นเลิศสำหรับชุมชน จากงานประชุม TREC-17
ตัวแทนจากชุมชนบ้านแม่หาดและบ้านเวียงแหงต่างยืนยันถึงประโยชน์ของโครงการ นายเอกรินทร์ พูนนุ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านบ้านแม่หาด กล่าวว่า โครงการช่วยให้ได้รับแนวทางการจัดการที่เข้มแข็งขึ้น การแปรรูปใบไม้เป็นปุ๋ยช่วยลดการเผา สร้างรายได้ ลดต้นทุนเกษตร และเสริมสร้างความสามัคคีในการดูแลป่า ด้านนางอิ่นแก้ว เมธา ผู้ใหญ่บ้านเวียงแหง มองว่า “ป่าปลอดเผา” เป็นโอกาสให้ชุมชนร่วมมือปกป้องผืนป่า สร้างสภาพแวดล้อมที่ดีส่งต่อลูกหลาน นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง
ขยายผลสู่เฟส 2 และพื้นที่อื่น ๆ
ในปี 2568 เครือซีพีขยายผลโครงการสู่เฟสที่ 2 ครอบคลุม 10 ป่าชุมชนในอำเภอเวียงแหง พื้นที่รวมกว่า 3,600 ไร่ โดยยังคงเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชน และการสนับสนุนองค์ความรู้ เทคโนโลยี และงบประมาณ นอกจากนี้ โครงการยังได้ขยายผลนำร่องไปยังอำเภออมก๋อย อีก 3 ป่าชุมชน ได้แก่ บ้านหลิม บ้านดง และบ้านโป่ง
เครือซีพีมุ่งมั่นต่อยอด “ป่าปลอดเผา” ให้เป็นต้นแบบการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ตอบโจทย์ Net Zero, Zero Waste และลดความเหลื่อมล้ำ พร้อมขยายผลสู่พื้นที่อื่นๆ รวมถึงมีแผนบูรณาการการใช้ปุ๋ยอินทรีย์จากใบไม้สู่การพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนร่วมกับมหาวิทยาลัยแม่โจ้ เพื่อเพิ่มมูลค่าผลผลิต ลดคาร์บอน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียวในระดับพื้นที่ต่อไป