ศาลสั่งจำคุก “เนตร นาคสุข” 3 ปี “ชัยณรงค์” 2 ปี คดีร่วมช่วย “บอส อยู่วิทยา” พ้นผิด ยกฟ้อง 6 ราย แต่ขังระหว่างอุทธรณ์

ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิพากษาจำคุก นายเนตร นาคสุข อดีตรองอัยการสูงสุด เป็นเวลา 3 ปี และนายชัยณรงค์ แสงทองอร่าม อดีตอัยการอาวุโส 2 ปี ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบและเป็นผู้สนับสนุน กรณีมีส่วนเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือ นายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา ผู้ต้องหาในคดีขับรถชนตำรวจเสียชีวิต ให้พ้นผิด ขณะที่จำเลยอีก 6 ราย ศาลยกฟ้อง แต่ให้หมายขังไว้ระหว่างอุทธรณ์ เว้นแต่จะได้รับประกันตัว

วันนี้ (22 เม.ย. 68) เวลา 13.30 น. ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ศาลได้นัดอ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำ อท 131/2567 ที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 1 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องจำเลยรวม 8 คน ในความผิดฐานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่มิชอบฯ กรณีเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงพยานหลักฐานในคดี นายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา ผู้ต้องหาในคดีขับรถสปอร์ตหรูเฉี่ยวชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ อดีตตำรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิต เมื่อปี 2555 โดยมีเจตนาช่วยเหลือให้นายวรยุทธพ้นผิด หรือรับโทษน้อยลง

จำเลยทั้ง 8 คนในคดีนี้ประกอบด้วย พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีต ผบ.ตร. (จำเลยที่ 1), พล.ต.ต.ธวัชชัย เมฆประเสริฐสุข อดีต ผบก.กองพิสูจน์หลักฐาน (จำเลยที่ 2), พ.ต.อ.วิรดล ทับทิมดี อดีตพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ (จำเลยที่ 3), นายชัยณรงค์ แสงทองอร่าม อดีตอัยการอาวุโส (จำเลยที่ 4), นายธนิต บัวเขียว (จำเลยที่ 5), นายชูชัย หรือพิชัย เลิศพงศ์อดิศร (จำเลยที่ 6), รศ.ดร.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม นักวิชาการด้านฟิสิกส์ (จำเลยที่ 7) และนายเนตร นาคสุข อดีตรองอัยการสูงสุด (จำเลยที่ 8)

ในการอ่านคำพิพากษา ศาลได้พิจารณาพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง โดยในส่วนของจำเลยที่ 4 คือ นายชัยณรงค์ แสงทองอร่าม ศาลเห็นว่า แม้จำเลยจะไม่ได้เป็นอัยการผู้รับผิดชอบคดีนี้โดยตรง แต่มีพฤติการณ์เข้าไปร่วมประชุมและให้ความเห็น โดยใช้สถานะความเป็นอัยการอาวุโส โน้มน้าว กดดัน พนักงานสอบสวนให้คล้อยตามความเห็นเรื่องการคำนวณความเร็วรถ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้อยคำที่บ่งชี้ว่าต้องการให้ความเร็วรถอยู่ภายใต้ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อให้อยู่ในขอบเขตที่กฎหมายกำหนด ซึ่งแสดงถึงแรงจูงใจพิเศษที่ต้องการช่วยเหลือนายวรยุทธ พ้นจากการถูกดำเนินคดี ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 4 มีลักษณะเป็นการแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน เพื่อช่วยเหลือนายวรยุทธ แม้จะเป็นการช่วยเหลือผู้กระทำผิดก่อนหรือขณะกระทำผิดก็ตาม จึงเป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดตามฟ้อง

สำหรับจำเลยที่ 8 คือ นายเนตร นาคสุข ศาลพิเคราะห์คำสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ ฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย โดยมุ่งเน้นการพิจารณาจากประเด็นความเร็วรถยนต์ ซึ่งจำเลยที่ 8 ได้หยิบยกและให้น้ำหนักกับคำให้การของพยาน 2 ปาก ที่เพิ่งปรากฏในการร้องขอความเป็นธรรมครั้งที่ 8 และ 9 หลังเกิดเหตุการณ์กว่า 7 ปี โดยพยานทั้งสองระบุความเร็วรถของนายวรยุทธไว้ที่ประมาณ 50-60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ศาลเห็นว่า คำให้การของพยานทั้งสองไม่น่าเชื่อถือและผิดวิสัยของบุคคลในเรื่องความทรงจำตามธรรมชาติ มีลักษณะที่จะช่วยเหลือผู้ต้องหา และการที่จำเลยที่ 8 ซึ่งเป็นอัยการระดับสูงและมีประสบการณ์มาก เลือกหยิบยกเฉพาะพยานหลักฐานที่สนับสนุนการสั่งคดี โดยมุ่งเน้นประเด็นความเร็วเพื่อให้ความประมาทตกอยู่ที่ผู้ตายฝ่ายเดียว และเชื่อว่านายวรยุทธไม่ได้กระทำโดยประมาท เป็นการใช้ดุลยพินิจที่ไม่ชอบ ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงและหลักฐานที่มีเหตุผลอันสมควร เป็นการวินิจฉัยคดีโดยใช้ดุลยพินิจตามอำเภอใจ

ศาลจึงพิพากษาว่า การกระทำของจำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 8 เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172 ซึ่งเป็นบทหนักที่สุด โดยจำเลยที่ 4 เป็นผู้สนับสนุน ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 4 เป็นเวลา 2 ปี และจำคุกจำเลยที่ 8 เป็นเวลา 3 ปี

ส่วนจำเลยที่ 1-3 และจำเลยที่ 5-7 ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะลงโทษได้ จึงพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้ง 6 รายนี้ อย่างไรก็ตาม ศาลมีคำสั่งให้หมายขังจำเลยที่ 1-3 และ 5-7 ไว้ระหว่างอุทธรณ์ เว้นแต่จะได้รับประกันตัว ส่วนจำเลยที่ 4 และ 8 ซึ่งถูกพิพากษาจำคุก ศาลได้มีคำสั่งให้หมายขังเช่นกัน

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *