ศาลรัฐธรรมนูญ ตีตกคำร้องสอบสถานะ 92 สว. ชี้ผู้ยื่นเป็นแค่ ‘สว.สำรอง’ ไม่มีสิทธิทางกฎหมาย
เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 ศาลรัฐธรรมนูญได้มีการพิจารณากรณีที่ พล.ต.ท.คำรบ ปัญญาแก้ว และคณะ ซึ่งเป็นผู้มีรายชื่อเป็นผู้ได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในบัญชีสำรอง ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 เกี่ยวกับสถานะของ พล.ต.ต. ฉัตรวรรษ แสงเพชร และคณะ สมาชิกวุฒิสภา รวม 92 คน
คำร้องดังกล่าวอ้างว่า สว. ทั้ง 92 คน ได้ร่วมกันลงชื่อและยื่นหนังสือต่อประธานวุฒิสภา เพื่อขอให้ส่งคำร้องไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และศาลรัฐธรรมนูญ การกระทำดังกล่าวเป็นการใช้สถานะหรือตำแหน่งของการเป็น สว. ในการก้าวก่ายหรือแทรกแซงการปฏิบัติราชการหรือการดำเนินการในหน้าที่ประจำของข้าราชการหรือหน่วยงานราชการ ซึ่งอาจขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 185 (1)
เนื้อหาของการยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. ของ สว. ทั้ง 92 คนนั้น เกี่ยวข้องกับการขอให้พิจารณาไต่สวนและดำเนินการกับ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กรณีเสนอเรื่องให้คดีความผิดฐานอั้งยี่ที่เกี่ยวข้องกับการเลือก สว. เป็นคดีพิเศษ และกรณีการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของคณะกรรมการคดีพิเศษและพวกรวม 11 คน ในความผิดฐานสมคบกันฟอกเงิน
นอกจากนี้ สว. ทั้ง 92 คน ยังได้ยื่นเรื่องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่
ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาคำร้องดังกล่าวอย่างละเอียดแล้ว โดยอภิปรายถึงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของผู้มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคดีเกี่ยวกับการสิ้นสุดสมาชิกภาพของ สส. หรือ สว. ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 7 (5)
ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคหนึ่ง กำหนดไว้ชัดเจนว่า ผู้ที่จะมีสิทธิเข้าชื่อร้องต่อประธานแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิกว่าสมาชิกภาพของสมาชิกคนใดคนหนึ่งสิ้นสุดลง เพื่อให้ประธานส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย จะต้องเป็น สส. หรือ สว. จำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา หรืออีกกรณีหนึ่งคือคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญในคดีดังกล่าวได้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคสี่
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องว่า ผู้ยื่นคำร้องในกรณีนี้ คือ พล.ต.ท.คำรบ ปัญญาแก้ว และคณะ เป็นเพียงผู้มีรายชื่อในบัญชีสำรองของการเลือก สว. และยังมิได้มีสถานะเป็นสมาชิกวุฒิสภาที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในปัจจุบันแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้ ผู้ยื่นคำร้องจึงไม่มีสิทธิเข้าชื่อร้องต่อประธานวุฒิสภา หรือมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้
ดังนั้น กรณีนี้จึงไม่เข้าข่ายเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคหนึ่ง ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะสามารถรับไว้พิจารณาวินิจฉัยได้
ท้ายที่สุด ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ ด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 0 มีคำสั่งไม่รับคำร้องขอให้วินิจฉัยสถานะของ สว. 92 คนนี้ไว้พิจารณาวินิจฉัยในที่สุด