เชียงใหม่, 27 เมษายน 2568 – การแข่งขันสู่เก้าอี้นายกและสมาชิกสภาเทศบาลนครเชียงใหม่ ในวันที่ 11 พฤษภาคมนี้ กำลังเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุด นายชัยธวัช ตุลาธน อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งปัจจุบันมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนผู้สมัครจากพรรคประชาชน ได้ออกมาแสดงความเห็นตอบโต้กรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้พาดพิงถึงผู้สมัครจากพรรคประชาชนในการลงพื้นที่ช่วยหาเสียงให้ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย

ก่อนหน้านี้ นายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ได้กล่าวเปรียบเทียบระหว่างผู้สมัครนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่จากพรรคเพื่อไทย คือ นายอัศนี บูรณุปกรณ์ กับผู้สมัครจากพรรคประชาชน คือ นายธีรวุฒิ แก้วฟอง ทำนองว่าผู้สมัครจากพรรคประชาชนจะสู้ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยไม่ได้ในการเลือกตั้งครั้งนี้

นายชัยธวัช ตุลาธน ได้ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นนี้ โดยยืนยันว่าตนเองและพรรคประชาชนมีความเห็นที่อาจจะแตกต่างจากนายทักษิณ และยังคงมีความเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ว่ากระแสตอบรับที่ได้รับจากพี่น้องประชาชนในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่นั้นแข็งแกร่งเพียงพอ และพรรคประชาชนจะสามารถคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ได้

ปัจจัยสำคัญ: ผู้ออกมาใช้สิทธิ์

อย่างไรก็ตาม นายชัยธวัชได้กล่าวเน้นย้ำถึงปัจจัยสำคัญที่จะชี้ขาดผลการเลือกตั้ง นั่นคือจำนวนของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่จะออกมาใช้สิทธิ์ของตนเองในวันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคมนี้

เขากล่าวว่า จากการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลนครเชียงใหม่และนายกเทศมนตรีในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา มีผู้ออกมาใช้สิทธิ์ค่อนข้างน้อย คิดเป็นเพียงร้อยละ 59 ของผู้มีสิทธิ์ทั้งหมด ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ต่ำ

แต่นายชัยธวัชมั่นใจว่า หากการเลือกตั้งในครั้งนี้มีจำนวนผู้ออกมาใช้สิทธิ์ใกล้เคียงกับการเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ซึ่งมีจำนวนผู้ออกมาใช้สิทธิ์สูงกว่ามาก ตนเชื่อว่าผู้สมัครจากพรรคประชาชนจะได้รับชัยชนะในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่อย่างแน่นอน

ความเห็นของนายชัยธวัชครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจในพลังของประชาชนผู้สนับสนุนพรรคประชาชน รวมถึงการตระหนักถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถิ่น โดยเน้นย้ำว่าทุกคะแนนเสียงมีความหมายและสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเลือกตั้งท้องถิ่นที่มักจะมีความสำคัญโดยตรงกับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในพื้นที่

การเลือกตั้งนายกและสมาชิกสภาเทศบาลนครเชียงใหม่ในครั้งนี้จึงเป็นที่จับตาของหลายฝ่าย ไม่เพียงเพราะเป็นการแข่งขันระหว่างผู้สมัครที่มีฐานสนับสนุนที่แตกต่างกัน แต่ยังเป็นการวัดพลังของกระแสการเมืองระดับชาติที่มีอิทธิพลต่อการเมืองท้องถิ่น รวมถึงเป็นการพิสูจน์ว่าจำนวนผู้ออกมาใช้สิทธิ์จะมีผลต่อทิศทางการเมืองในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ได้มากน้อยเพียงใด.