กทม. ย้ำ กฎคุมสัตว์เลี้ยงใหม่ปี 69 ไม่บังคับทิ้งสัตว์เลี้ยงเดิม ยันให้เลี้ยงได้จนเสียชีวิตตามธรรมชาติ แค่ต้องแจ้งข้อมูล
กรุงเทพมหานครย้ำ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์ พ.ศ. 2567 ที่จะมีผลบังคับใช้วันที่ 10 มกราคม 2569 นี้ ไม่ได้บังคับให้ประชาชนที่เลี้ยงสัตว์เกินจำนวนที่กำหนดอยู่ก่อนแล้วต้องทิ้งสัตว์เลี้ยง ยืนยันสามารถเลี้ยงต่อไปได้จนเสียชีวิตตามธรรมชาติ เพียงแต่ต้องแจ้งข้อมูลกับสำนักงานเขตตามกำหนด เน้นย้ำกฎหมายนี้ออกมาเพื่อส่งเสริมสวัสดิภาพสัตว์ ป้องกันการทอดทิ้ง และควบคุมโรคพิษสุนัขบ้าเป็นสำคัญ
เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 ณ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร นางสาวทวิดา กมลเวช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้แถลงข่าวชี้แจงการเตรียมความพร้อมบังคับใช้ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์ พ.ศ. 2567 ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2568 และจะมีผลบังคับใช้จริงในวันที่ 10 มกราคม 2569 หลังจากมีระยะเวลาให้เตรียมตัว 360 วัน โดยข้อบัญญัตินี้กำหนดให้พื้นที่กรุงเทพมหานครเป็นเขตควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์ประเภทต่างๆ เช่น สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม นก สัตว์น้ำ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์เลื้อยคลาน รวมถึงสัตว์อันตรายหรือมีพิษ
เจ้าของสัตว์เลี้ยงเดิมไม่ต้องกังวล
รองผู้ว่าฯ ทวิดา กล่าวเน้นย้ำถึงประเด็นที่ประชาชนกังวลมากที่สุดว่า “หลายคนมีความกังวลเรื่องข้อบัญญัติที่ระบุว่าบ้านหรือคอนโดหนึ่งหลังจะเลี้ยงสัตว์ได้ 2 ตัว 3 ตัว สูงสุด 6 ตัวตามขนาดพื้นที่ ดิฉันขอเรียนทำความเข้าใจว่ากฎหมายนี้ไม่มีผลย้อนหลัง หากท่านเลี้ยงสัตว์อยู่ก่อนแล้ว ณ วันที่ 10 มกราคม 2569 ที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ ท่านจะไม่ได้รับผลกระทบ ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องนำสัตว์ไปทิ้ง สามารถเลี้ยงดูต่อไปได้จนกว่าเขาจะเสียชีวิตตามธรรมชาติ”
ท่านยังอธิบายว่า ข้อบัญญัตินี้เกิดจากนโยบายของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ด้านสวัสดิภาพสัตว์ ได้แก่ P137 การลงทะเบียนสัตว์เลี้ยงตลอดชีพเพื่อป้องกันการทอดทิ้ง และ P138 การจัดการสัตว์จรจัดอย่างเป็นระบบ เพื่อควบคุมจำนวน ลดปัญหาการเพิ่มขึ้นของประชากร ลดการแพร่ระบาดโรคพิษสุนัขบ้า และส่งเสริมการหาบ้านใหม่เพื่อลดการซื้อสัตว์เลี้ยงใหม่
ข้อกำหนดจำนวนสัตว์ตามขนาดพื้นที่ (สำหรับผู้ที่จะเลี้ยงใหม่หลังกฎหมายบังคับใช้)
ข้อบัญญัติฯ กำหนดจำนวนสัตว์ที่อนุญาตให้เลี้ยงในที่ส่วนบุคคลในกรุงเทพฯ ดังนี้:
- สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ (เช่น โค กระบือ ม้า กวาง): ไม่เกิน 1 ตัวต่อพื้นที่ 200 ตร.ม.
- สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก (เช่น แพะ แกะ สุกร ม้าแคระ): ไม่เกิน 3 ตัวต่อพื้นที่ 200 ตร.ม.
- สัตว์ปีก (เช่น ไก่ เป็ด ห่าน): ไม่เกิน 1 ตัวต่อพื้นที่ 4 ตร.ม.
- นกขนาดใหญ่ (เช่น นกกระจอกเทศ): ไม่เกิน 1 ตัวต่อพื้นที่ 50 ตร.ม.
- นกขนาดเล็ก: ไม่เกิน 5 ตัวต่อพื้นที่ 1 ตร.ม.
สำหรับสถานประกอบกิจการที่เลี้ยงสัตว์จำนวนมากเพื่อการค้า จะมีข้อกำหนดที่แตกต่างออกไปและมีการควบคุมด้านสุขอนามัยเพิ่มเติม
ส่วนจำนวนสุนัขและแมวที่อนุญาตให้เลี้ยงในที่ส่วนบุคคล มีข้อกำหนดดังนี้:
- อาคารชุด/ห้องเช่า พื้นที่ 20-80 ตร.ม.: ไม่เกิน 1 ตัว
- อาคารชุด/ห้องเช่า พื้นที่มากกว่า 80 ตร.ม.: ไม่เกิน 2 ตัว
- ที่ดินไม่เกิน 20 ตร.ว. (ประมาณ 80 ตร.ม.): ไม่เกิน 2 ตัว
- ที่ดิน 20-50 ตร.ว.: ไม่เกิน 3 ตัว
- ที่ดิน 50-100 ตร.ว.: ไม่เกิน 4 ตัว
- ที่ดินมากกว่า 100 ตร.ว.: ไม่เกิน 6 ตัว
สิ่งสำคัญสำหรับเจ้าของสัตว์เลี้ยงเดิมที่เกินจำนวน: ต้องแจ้งข้อมูล!
หากเจ้าของสัตว์เลี้ยงมีจำนวนสัตว์เกินกว่าที่กำหนดไว้ตามขนาดพื้นที่ *ก่อนวันที่ 10 มกราคม 2569* ที่ข้อบัญญัติมีผลบังคับใช้ จะต้องดำเนินการแจ้งข้อมูลจำนวนสัตว์ที่เลี้ยงอยู่ต่อสำนักงานเขตในพื้นที่ ภายในวันที่ 9 เมษายน 2569 หากไม่แจ้งอาจมีการเข้าตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายได้
หน้าที่และความรับผิดชอบของเจ้าของสัตว์เลี้ยง
เจ้าของสัตว์เลี้ยงมีหน้าที่ตามข้อบัญญัติฯ ดังนี้:
- จัดทำที่อยู่ให้สัตว์อย่างปลอดภัย เหมาะสมกับชนิด มีพื้นที่ แสงสว่าง อาหาร น้ำ การระบายอากาศ และระบบกำจัดของเสียเพียงพอ
- รักษาความสะอาดสถานที่เลี้ยง ไม่ให้เกิดกลิ่นเหม็นหรือสกปรก
- นำสัตว์ไปฉีดวัคซีน คัดแยกสัตว์ป่วย และแจ้งเจ้าหน้าที่สัตวแพทย์
- ควบคุมสัตว์ให้อยู่ในความดูแล (สัตว์อันตรายต้องขังกรง มีป้ายเตือน)
- ปล่อยให้สัตว์ได้แสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติ
- ป้องกันสัตว์ไม่ให้ก่อเหตุเดือดร้อนรำคาญหรือทำอันตรายผู้อื่น
- กำจัดซากสัตว์อย่างถูกวิธี ไม่ให้เกิดมลพิษหรืออันตรายต่อสุขภาพ
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและข้อบังคับของเทศบาล
การลงทะเบียนและฝังไมโครชิปสุนัขและแมวเป็นภาคบังคับ
ข้อบัญญัติฯ กำหนดให้เจ้าของสุนัขและแมวในกรุงเทพฯ ต้องนำสัตว์เลี้ยงไปลงทะเบียน ทำ Pet Passport และฝังไมโครชิป ภายใน 120 วันนับตั้งแต่สัตว์เกิด หรือภายใน 30 วันนับแต่ย้ายสัตว์เข้ามาในกรุงเทพฯ โดยเจ้าของหรือผู้รับมอบอำนาจสามารถดำเนินการได้
กทม. เน้นย้ำว่าการฝังไมโครชิปมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นการระบุตัวตนที่เชื่อมโยงข้อมูลสำคัญ ไม่เพียงช่วยตามหาสัตว์เลี้ยงที่สูญหายได้ แต่ยังใช้ติดตามประวัติการฉีดวัคซีน โดยเฉพาะวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ซึ่งจำเป็นต่อความปลอดภัยของประชาชน นอกจากนี้ การมี Pet ID Card จะช่วยส่งเสริมสวัสดิภาพสัตว์ ทำให้เข้าถึงบริการตรวจสุขภาพ เข้าร่วมกิจกรรมในพื้นที่สาธารณะ และรับวัคซีนฟรี ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของสัตว์เลี้ยงให้ดีขึ้น
การลงทะเบียนสามารถยื่นเรื่องต่อเจ้าหน้าที่ ณ จุดรับลงทะเบียนที่ได้รับอนุญาต เช่น สำนักอนามัย กรมปศุสัตว์ หรือสำนักงานเขตต่างๆ โดยเตรียมเอกสารประกอบ ได้แก่ บัตรประจำตัวประชาชนเจ้าของ, ทะเบียนบ้านที่ใช้เป็นที่อยู่ของสัตว์, เอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง, หนังสือยินยอมจากเจ้าของอาคาร/บ้านเช่า (ถ้ามี), หลักฐานการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า (ถ้ามี), ใบรับรองการทำหมันจากสัตวแพทย์ (ถ้ามี), หนังสือมอบอำนาจ (ถ้ามี)
ตัวแทนจากสมาคมต่างๆ ที่เข้าร่วมแถลงข่าว อาทิ สมาคมส่งเสริมสวัสดิภาพสัตว์แห่งประเทศไทย เห็นด้วยกับการลงทะเบียนและฝังไมโครชิป เพื่อแก้ปัญหาการทอดทิ้งสัตว์จรจัด ซึ่งมักเกิดจากสัตว์ไม่มีเครื่องหมายระบุตัวตน พร้อมย้ำว่ากฎหมายนี้ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของที่เลี้ยงสัตว์อย่างมีความรับผิดชอบ แม้จะเลี้ยงจำนวนมากก็ตาม แต่จะส่งผลดีในการจัดการปัญหาสัตว์ที่ถูกปล่อยปละละเลยและก่อความเดือดร้อนต่างหาก