อุจจาระสีดำ บอกโรคอะไรได้บ้าง? ผู้เชี่ยวชาญชี้ 8 สาเหตุ ไม่ได้น่ากลัวเสมอไป อาจมาจากอาหารหรือยา
อุจจาระสีดำ บอกโรคอะไรได้บ้าง? ผู้เชี่ยวชาญชี้ 8 สาเหตุ ไม่ได้น่ากลัวเสมอไป อาจมาจากอาหารหรือยา
สำนักข่าวอีทีทูเดย์ (ETtoday) รายงานว่า การมีอุจจาระสีดำ ซึ่งหมายถึงอุจจาระที่มีสีแดงเข้มไปจนถึงสีดำคล้ายยางมะตอยนั้น เป็นเรื่องที่พบได้ และอาจเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย
หลายครั้ง อุจจาระสีดำที่มีกลิ่นเหม็นผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความผิดปกติหรือปัญหาเลือดออกในระบบทางเดินอาหารส่วนบน เช่น หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร หรือลำไส้เล็กส่วนต้น ซึ่งเลือดที่ออกนี้เมื่อผ่านการย่อย จะเปลี่ยนเป็นสีดำเข้มคล้ายยางมะตอยที่เรียกว่า เมลีนา (Melena) อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเน้นย้ำว่า การมีอุจจาระสีดำไม่ได้หมายถึงโรคร้ายแรงเสมอไป โดยอาจเกิดจากการรับประทานอาหารบางชนิดที่มีสีเข้ม หรือการได้รับธาตุเหล็กในปริมาณมาก ซึ่งในกรณีนี้ อุจจาระมักจะมีสีดำจริง แต่จะไม่มีกลิ่นเหม็นคาวเลือด
สาเหตุทั่วไป 8 ประการของอุจจาระสีดำ ที่ผู้เชี่ยวชาญได้รวบรวมไว้ มีดังนี้:
- อาหารและยาบางชนิด: นี่คือสาเหตุที่พบบ่อยและไม่เป็นอันตราย การรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น ผักโขม บลูเบอร์รี่ ลูกอมชะเอมเทศ หรืออาหารเสริมธาตุเหล็ก รวมถึงยาบางประเภทที่มีส่วนผสมของบิสมัท (Bismuth subsalicylate) เช่น ยาแก้ท้องเสียบางชนิด อาจทำให้อุจจาระมีสีดำได้ชั่วคราว
- การติดเชื้อแบคทีเรียที่หายาก: แม้จะไม่บ่อยนัก แต่การติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิดที่ส่งผลต่อระบบทางเดินอาหาร เช่น โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) ในระบบทางเดินอาหาร อาจทำให้เกิดการอักเสบและเลือดออก ซึ่งนำไปสู่อุจจาระสีดำได้
- โรคในหลอดอาหารหรือระบบย่อยอาหารส่วนบน: ภาวะที่ส่งผลกระทบต่อหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร หรือลำไส้เล็กส่วนต้น ซึ่งเป็นส่วนต้นของระบบย่อยอาหาร เช่น หลอดอาหารอักเสบรุนแรง (Severe esophagitis) แผลในหลอดอาหาร (Esophageal ulcer) หรือเส้นเลือดขอดในหลอดอาหาร (Esophageal varices) อาจทำให้เกิดเลือดออกภายใน เมื่อเลือดนี้ผ่านเข้าสู่ระบบย่อยอาหารและถูกย่อย จะทำให้อุจจาระเปลี่ยนเป็นสีดำ
- การอักเสบหรือแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น: การใช้ยาบางชนิดโดยเฉพาะกลุ่มยาแก้ปวดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) หรือภาวะโรคกระเพาะ เช่น แผลในกระเพาะอาหาร (Gastric ulcer) หรือแผลในลำไส้เล็กส่วนต้น (Duodenal ulcer) อาจทำให้มีเลือดออกปริมาณเล็กน้อยหรือปานกลางในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งมักจะส่งผลให้อุจจาระมีสีดำคล้ายยางมะตอย
- โรคทางเดินอาหารอื่น ๆ: โรคเกี่ยวกับลำไส้ใหญ่และลำไส้อื่นๆ เช่น โรคถุงผนังลำไส้ใหญ่อักเสบ (Diverticulitis), โรคลำไส้ใหญ่อักเสบ (Colitis), โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (Inflammatory Bowel Disease) อย่างโรคโครห์น (Crohn’s Disease) หรือโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเป็นแผล (Ulcerative Colitis) ก็สามารถเป็นสาเหตุของอุจจาระสีดำได้เช่นกัน หากมีการอักเสบหรือเลือดออกในบริเวณนั้น
- ภาวะผิดปกติของหลอดเลือดหรือการบาดเจ็บ: ความผิดปกติของหลอดเลือดในระบบย่อยอาหาร เช่น หลอดเลือดผิดรูป หรือการบาดเจ็บ การระคายเคืองอย่างรุนแรงต่อหลอดอาหารหรือกระเพาะอาหารที่ทำให้มีเลือดออก ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อุจจาระมีสีดำได้
- โรคลำไส้เฉียบพลัน: ภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์บางอย่างเกี่ยวกับลำไส้ เช่น โรคลำไส้เน่า (Necrotizing Enterocolitis) ซึ่งทำให้เกิดการอักเสบอย่างรุนแรงและเนื้อตายในผนังลำไส้ หรือโรคลำไส้สอดแทรก (Intussusception) ที่ลำไส้ส่วนต้นมุดเข้าไปในลำไส้ส่วนปลาย ทำให้เกิดการอุดตันและเลือดออก ก็สามารถทำให้อุจจาระเป็นสีดำได้ ซึ่งภาวะเหล่านี้เป็นอันตรายและต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน
- การรักษาด้วยรังสีหรือปฏิกิริยาจากการถ่ายเลือด: การรักษาด้วยรังสี (Radiation therapy) บริเวณที่เกี่ยวข้องกับระบบย่อยอาหาร อาจทำให้เกิดการอักเสบและเลือดออกได้ ในบางกรณี อาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดจากการถ่ายเลือด (Blood transfusion reaction) ที่หมู่เลือดไม่เข้ากัน หรือภาวะหลอดเลือดอักเสบ (Vasculitis) ที่ทำให้ผนังหลอดเลือดหนาตัวและมีเลือดออก ก็อาจเป็นสาเหตุของอุจจาระสีดำได้
แม้ว่าสาเหตุทั้ง 8 ประการนี้จะเป็นสาเหตุที่พบได้ทั่วไป แต่สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าอุจจาระสีดำอาจเกิดจากปัจจัยอื่น ๆ อีกได้ ดังนั้น หากมีข้อสงสัยหรือไม่แน่ใจ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้องแม่นยำที่สุด เนื่องจากสถานการณ์ของแต่ละบุคคลแตกต่างกัน การปรึกษาแพทย์จะช่วยให้ได้รับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมที่สุด
สัญญาณเตือนที่ควรพบแพทย์ทันที หากมีอุจจาระสีดำร่วมด้วย:
- มีประวัติเลือดออกในระบบทางเดินอาหารมาก่อน
- อุจจาระสีดำมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ โดยเฉพาะกลิ่นคาวเลือด (Melena)
- อุจจาระเป็นสีดำอย่างต่อเนื่อง ไม่หายไปหลังจากหยุดทานอาหารหรือยาที่อาจเป็นสาเหตุ
- อาเจียนเป็นเลือด (Hematemesis) หรืออาเจียนเป็นตะกอนสีดำคล้ายกาแฟ
- มีอาการเวียนศีรษะ หน้ามืด คล้ายจะเป็นลม หรือรู้สึกอ่อนเพลียผิดปกติ
- มีเลือดสีแดงสดปนออกมาพร้อมอุจจาระ (ซึ่งอาจบ่งชี้ปัญหาในระบบทางเดินอาหารส่วนล่างร่วมด้วย)
นอกจากการพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสมแล้ว การดูแลสุขภาพด้วยการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์บางอย่างก็สำคัญ และอาจช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้นได้:
- ลดการรับประทานอาหารที่มีแคลอรี่สูง ไขมันสูง และอาหารแปรรูป
- หลีกเลี่ยงอาหารทอดและอาหารรสจัด เผ็ดจัด หรือเปรี้ยวจัด
- เลิกสูบบุหรี่โดยเด็ดขาด
- จำกัดปริมาณการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- หลีกเลี่ยงพฤติกรรมการกินที่อาจระคายเคืองเยื่อบุกระเพาะอาหาร เช่น การทานอาหารไม่เป็นเวลา การอดอาหาร หรือทานอาหารที่มีกรดสูงมากเกินไป
- เพิ่มการบริโภคผัก ผลไม้ และอาหารที่มีกากใยสูงเพื่อช่วยในการขับถ่ายและรักษาสุขภาพลำไส้
- ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอในแต่ละวัน
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
การใส่ใจสุขภาพระบบทางเดินอาหารเป็นสิ่งสำคัญ หากมีข้อกังวลเกี่ยวกับสีหรือลักษณะของอุจจาระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีอาการผิดปกติอื่นๆ ร่วมด้วย ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์เสมอเพื่อความปลอดภัยและสุขภาพที่ดีของคุณ