สภาผู้บริโภคห่วงพื้นที่สีเขียว กทม. วิกฤต! ชี้ผังเมืองไร้ประสิทธิภาพ ทำลายสิ่งแวดล้อม-คุณภาพชีวิต
กรุงเทพมหานคร – เนื่องในโอกาสวันลดโลกร้อน ซึ่งตรงกับวันที่ 22 เมษายน ของทุกปี สภาองค์กรของผู้บริโภคได้ออกมาแสดงความห่วงใยอย่างยิ่งต่อสถานการณ์การจัดการพื้นที่สีเขียวในเขตกรุงเทพมหานคร โดยเน้นย้ำว่า ปัญหาการลดลงของพื้นที่สีเขียวที่กำหนดไว้ในผังเมืองนั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบเพียงแค่ระบบนิเวศและคุณภาพชีวิตของประชาชนเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงช่องโหว่ที่สำคัญในระบบการวางแผนเมือง และการบังคับใช้กฎหมายผังเมืองที่ยังขาดความเข้มแข็ง
นายก้องศักดิ์ สหะศักดิ์มนตรี อนุกรรมการด้านอสังหาริมทรัพย์และที่อยู่อาศัย สภาองค์กรของผู้บริโภค เปิดเผยว่า ขณะนี้พื้นที่หลายแห่งที่ถูกกำหนดให้เป็น “ชนบทและเกษตรกรรม” ตามผังเมือง โดยเฉพาะในเขตชานเมือง กลับมีการนำไปใช้ประโยชน์ในลักษณะที่ผิดไปจากวัตถุประสงค์เดิม เช่น การก่อสร้างหมู่บ้านจัดสรร โรงงาน หรือสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ ก่อนที่จะมีการแก้ไขผังเมืองให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นในภายหลัง ซึ่งพฤติกรรมเช่นนี้ นอกจากการเป็นการกัดเซาะพื้นที่สีเขียวอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักธรรมาภิบาล และเป็นการลดโอกาสของประชาชนในการเข้าถึงสภาพแวดล้อมที่ดีอย่างไม่เป็นธรรม
นายก้องศักดิ์ กล่าวเสริมว่า แนวโน้มการอนุญาตก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างต่างๆ อาทิ บ้าน โรงแรม หรือโครงการขนาดใหญ่ในพื้นที่สีเขียวนั้น มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีข้อกำหนดที่ชัดเจนในผังเมือง ซึ่งผลที่ตามมาคือภาระด้านมลพิษ มลพิษทางน้ำ และความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศในเขตเกษตรกรรมและชนบท ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับเป้าหมายการลดโลกร้อนอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้ พื้นที่อนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรมที่เคยทำหน้าที่เป็นพื้นที่รับน้ำหรือ “แก้มลิง” ตามธรรมชาติในผังเมืองเดิม ก็กำลังถูกลดทอนบทบาทลงอย่างน่าเป็นห่วง ทั้งที่พื้นที่เหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยรับมือกับปัญหาน้ำหลากและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ข้อมูลจากเอกสารรายงานโครงการ “การพัฒนาที่ยั่งยืนของเมืองและชุมชน ภายใต้คณะทำงานอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมเมืองที่ยั่งยืน (AWGESC)” ซึ่งจัดทำโดยสํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ระบุมาตรฐานพื้นที่สีเขียวเพื่อการบริการสำหรับประเทศไทยไว้ว่า ชุมชนเมืองทุกแห่งควรมีพื้นที่สีเขียวเพื่อบริการขนาดไม่น้อยกว่า 20,000 ตารางเมตร เพื่อรองรับผู้ใช้บริการได้อย่างน้อย 2,000 คนต่อพื้นที่บริการ หรือคิดเป็นขนาดไม่น้อยกว่า 5 ตารางเมตรต่อคน และควรอยู่ในระยะที่เดินทางได้สะดวกประมาณ 500 เมตร หรือใช้เวลาเดินไม่เกิน 10 นาทีจากที่พักอาศัย แต่ในร่างผังเมืองกรุงเทพมหานคร ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 4 กลับพบว่ามีการกำหนดพื้นที่สีเขียวส่วนใหญ่อยู่บริเวณฝั่งตะวันออกและตะวันตกของเมือง โดยอาจไม่ได้คำนึงถึงความหนาแน่นของพื้นที่อยู่อาศัยของประชาชนในเขตเมืองชั้นในเท่าที่ควร
ทางสภาองค์กรของผู้บริโภค โดยอนุกรรมการด้านอสังหาริมทรัพย์ ได้เสนอข้อเสนอแนะไปยังรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้เร่งพิจารณาทบทวนการใช้ประโยชน์ที่ดินว่างรกร้างซึ่งอยู่ภายใต้การครอบครองของหน่วยงานรัฐขนาดใหญ่ เช่น การรถไฟแห่งประเทศไทย ท่าเรือ กองทัพ และสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ เพื่อนำมาจัดสรรให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน โดยอาจพัฒนาเป็นพื้นที่สีเขียวสาธารณะ สวนสาธารณะ ที่อยู่อาศัยราคาที่เหมาะสม หรือพื้นที่นันทนาการ ซึ่งจะสามารถสร้างประโยชน์ร่วมกันและกระจายโอกาสไปยังประชาชนในวงกว้างได้อย่างแท้จริง และเนื่องในวันลดโลกร้อนปีนี้ ถือเป็นโอกาสอันดีที่ทุกภาคส่วน ตั้งแต่ภาครัฐทุกระดับ หน่วยงานท้องถิ่น ไปจนถึงประชาชนทุกคน จะได้ร่วมกันทบทวนและหาแนวทางการจัดการพื้นที่สีเขียวอย่างจริงจัง เพื่อร่วมกันปกป้องสิ่งแวดล้อม ลดผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ และร่วมกันสร้างเมืองที่มีความเป็นธรรมและน่าอยู่สำหรับทุกคน
“การวางผังเมืองไม่ควรมุ่งเน้นเฉพาะการสนับสนุนการเติบโตของทุนเอกชนเพียงฝ่ายเดียว แต่ควรเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการสร้างความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมความเป็นธรรมด้านพื้นที่สำหรับคนส่วนใหญ่ในสังคม” นายก้องศักดิ์ กล่าวย้ำ
ทั้งนี้ สภาองค์กรของผู้บริโภคยังคงติดตามการร่างผังเมืองรวมของกรุงเทพมหานครอย่างใกล้ชิด และพบว่ายังมีประเด็นปัญหาหลายด้านที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเป็นระบบ ทั้งเรื่องปัญหาน้ำท่วม ความแออัด สภาพการจราจร รวมถึงปัญหาพื้นที่สีเขียว ด้วยจำนวนประชากรเกือบ 5 ล้านคนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ การวางผังเมืองซึ่งเปรียบเสมือนการชี้นำการใช้ประโยชน์พื้นที่เพื่อให้เมืองเติบโตไปในทิศทางที่พึงประสงค์ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อคมนาคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิต จึงเป็นเรื่องที่ทุกคนมีสิทธิและควรมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น การปรับปรุงหรือร่างผังเมืองใหม่จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องคำนึงถึงบริบทความเป็นจริงในปัจจุบัน และรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนที่อยู่อาศัยในแต่ละพื้นที่อย่างแท้จริง เพื่อให้ผังเมืองที่ออกมานั้นเหมาะสมและสอดคล้องกับวิถีชีวิตและความต้องการของคนเมืองอย่างที่สุด