เบทาโกร พลิกทำกำไรแรง! ไตรมาสแรกปี 68 โกย 1.8 พันล้านบาท พุ่งจากขาดทุน หนุนโดยราคาหมู-ไก่พุ่งและกลยุทธ์ธุรกิจ

บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ BTG รายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 1 ปี 2568 พลิกกลับมาทำกำไรได้อย่างน่าประทับใจ โดยมีกำไรสุทธิสูงถึง 1,897.8 ล้านบาท จากที่เคยประสบภาวะขาดทุนสุทธิ 124.1 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

นายวสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจในไตรมาสแรกปีนี้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะธุรกิจอาหารและโปรตีนที่มีทิศทางที่ดีอย่างชัดเจน ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ผลประกอบการพลิกฟื้นอย่างโดดเด่น มาจากหลายส่วนประกอบกัน ทั้งการขับเคลื่อนกลยุทธ์หลักขององค์กร การบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ และปัจจัยบวกจากราคาหมูและไก่ในประเทศที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงความต้องการบริโภคที่เพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและเพื่อการส่งออก

สำหรับรายได้รวมของบริษัทฯ ในไตรมาส 1/2568 อยู่ที่ 30,499.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 27,215.4 ล้านบาท

ในด้านความสามารถในการทำกำไร เบทาโกรมีกำไรขั้นต้นสูงถึง 5,362.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 83.5% จาก 2,921.8 ล้านบาทในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 10.8% เป็น 17.7%

ตัวเลข EBITDA (กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย) ของบริษัทฯ ก็เติบโตแบบก้าวกระโดด โดยอยู่ที่ 3,766.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 153.4% จาก 1,486.6 ล้านบาทในงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ถึงการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง

สาเหตุหลักที่ทำให้กำไรสุทธิพลิกจากขาดทุนมาเป็นกำไรจำนวนมาก มาจากการเพิ่มขึ้นของอัตรากำไรขั้นต้น และการควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

สำหรับทิศทางธุรกิจในปี 2568 เบทาโกรยังคงเดินหน้าตาม 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่:

  1. การขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศ (International expansion): มุ่งเน้นการควบรวมกิจการและการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ โดยเฉพาะในตลาดที่มีศักยภาพและกำลังซื้อสูง
  2. การปรับพอร์ตสินค้าเพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไร (Product and Channel Mix Optimization): เน้นการบริหารจัดการผลิตภัณฑ์และช่องทางการจัดจำหน่าย โดยมุ่งไปที่ผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรสูงขึ้น เช่น ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปและอาหารพร้อมทาน และช่องทางจำหน่ายสำคัญอย่าง Food Service และการส่งออก
  3. การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการบริหารจัดการต้นทุนตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Cost Transformation): นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้และออกแบบกระบวนการใหม่ เพื่อเพิ่มผลผลิตและประสิทธิภาพในการผลิตและบริหารจัดการต้นทุน

นอกจากนี้ ในไตรมาสแรกของปี 2568 เบทาโกรยังเริ่มรับรู้รายได้จากการเข้าซื้อกิจการ Eggriculture ผู้ผลิตไข่ไก่รายใหญ่ในประเทศสิงคโปร์ ซึ่งอยู่ภายใต้บริษัท เบทาโกร ฟู้ดส์ (สิงคโปร์) จำกัด โดยรับรู้รายได้แล้ว 27.3 ล้านเหรียญดอลลาร์สิงคโปร์ หรือประมาณ 688.8 ล้านบาท การเข้าซื้อกิจการนี้สะท้อนถึงความสำเร็จในการดำเนินกลยุทธ์การขยายธุรกิจไปต่างประเทศ และบริษัทยังคงมองหาโอกาสในการขยายตลาดเพิ่มเติมในภูมิภาคเอเชียที่มีศักยภาพ เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม เพื่อก้าวสู่เป้าหมายการเป็นผู้นำอุตสาหกรรมอาหารในระดับภูมิภาค

นายวสิษฐ กล่าวทิ้งท้ายว่า “แม้จะมีปัจจัยท้าทายทางธุรกิจ โดยเฉพาะจากสถานการณ์ภายนอก เช่น สงครามการค้า แต่เรายังคงเห็นโอกาสการเติบโตที่แข็งแกร่งจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของราคาหมูและไก่ในประเทศ ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบสำคัญอย่าง กากถั่วเหลือง และมันเส้น มีแนวโน้มปรับตัวลดลง ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกสำคัญในระยะข้างหน้า ประกอบกับอุปสงค์ในตลาดส่งออกหลักทั้งในยุโรปและเอเชียที่ยังคงแข็งแกร่ง และการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เราเชื่อมั่นว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตของรายได้ในปี 2568 ได้ตามที่ตั้งไว้ที่ 3-7%”

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *