เบสท์ ชนิดาภา เปิดโปงกลลวงมิจฉาชีพ หลอกสูญ 1.2 ล้าน เผยวิธีปั่นหัวเหยื่อ พร้อมรับมือคอมเมนต์บูลลี่ ผ่านรายการ คุยแซ่บShow
นักแสดงสาวมากฝีมือ เบสท์ ชนิดาภา พงศ์ศิลป์พิพัฒน์ เปิดใจเล่าประสบการณ์สุดช้ำ ถูกมิจฉาชีพหลอกลวงจนสูญเงินเก็บกว่า 1.2 ล้านบาท เผยกลโกงที่ซับซ้อนและใช้จิตวิทยาปั่นหัวเหยื่อ พร้อมทั้งต้องเผชิญกับคอมเมนต์บูลลี่ซ้ำเติมจากชาวเน็ต ผ่านรายการ คุยแซ่บShow ทางช่อง one31 ที่มี เป็กกี้ ศรีธัญญา และ บูม สุภาพร เป็นพิธีกรดำเนินรายการ
เบสท์ ชนิดาภา เล่าจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดว่า มาจากการเห็นโฆษณาในเฟซบุ๊กรับสมัครอินฟลูเอนเซอร์รีวิวโรงแรม จึงสนใจและลองทักไปสอบถาม รายละเอียดเบื้องต้นไม่มีอะไรน่าสงสัย มีการให้กรอกข้อมูลส่วนตัวและบริษัทที่อ้างถึงก็มีตัวตนอยู่จริง แต่กลลวงเริ่มขึ้นเมื่อมิจฉาชีพให้แอดไลน์หรือเทเลแกรมไปคุยกับเจ้าหน้าที่ธุรการส่วนตัว ซึ่งภายหลังมารู้ว่าแอปพลิเคชันเทเลแกรมเป็นที่นิยมของมิจฉาชีพเพราะทำลายหลักฐานได้ง่าย
ขั้นตอนแรก มิจฉาชีพจะให้ทดสอบเขียนรีวิวสั้นๆ เพื่อประเมินทักษะ ซึ่งหลังจากส่งไป ก็มีการโอนเงินค่าเสียเวลาเข้ามาจริง 20 บาท ทำให้เหยื่อตายใจ จากนั้นจะให้สะสมคะแนนโดยการเขียนรีวิวสั้นๆ ไปเรื่อยๆ เมื่อคะแนนเต็ม 100 จะได้รับสิทธิ์เข้าทำงานจริง แต่ก่อนหน้านั้น มิจฉาชีพจะเริ่มชวนเข้าร่วมแคมเปญพิเศษ อ้างว่าเป็นโปรโมชั่นของแพลตฟอร์มจองโรงแรมดัง เช่น Agoda และมีการโอนเงินค่าสมัครเล็กน้อย 35 บาท ให้เหยื่อก่อน
จากนั้นจึงเริ่มเข้าสู่ขั้นตอนการหลอกให้โอนเงิน โดยอ้างว่าเป็น ‘ทุนสำรอง’ ในการเข้าร่วมแคมเปญ เริ่มจากจำนวนน้อย เช่น 400 บาท โดยหลอกว่าจะได้รับค่าคอมมิชชั่น 10% และเงินทุนคืนหลังจากทำภารกิจ (เช่น แชร์ลิงก์โรงแรมในโซเชียลมีเดีย) สำเร็จ ซึ่งในครั้งแรกๆ มิจฉาชีพจะโอนเงินคืนพร้อมคอมมิชชั่นให้จริง เช่น โอน 400 ได้คืน 440 บาท ทำให้เหยื่อยิ่งหลงเชื่อ และจำนวนเงินที่ต้องโอนเพื่อเข้าร่วมแคมเปญก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็น 1,400, 5,000 บาท และ 10,800 บาท ซึ่งเบสท์ได้รับเงินคืนจนถึงก้อนที่สี่
กลลวงที่ซับซ้อนขึ้นเริ่มจากก้อนที่ห้าคือ 10,800 บาท เมื่อโอนไปแล้ว มิจฉาชีพจะดึงตัวเหยื่อเข้ากลุ่ม VIP ซึ่งมีสมาชิกคนอื่นอีกหลายคน (ซึ่งแท้จริงแล้วคือหน้าม้าของมิจฉาชีพ) โดยอ้างว่าเป็นแคมเปญกลุ่ม หากคนใดคนหนึ่งทำภารกิจไม่สำเร็จ ทุกคนในกลุ่มจะเสียเงินทั้งหมด วิธีนี้สร้างแรงกดดันมหาศาลให้เหยื่อรู้สึกผิดและต้องทำภารกิจต่อไป เพื่อไม่ให้คนอื่นเดือดร้อน
จำนวนเงินในแคมเปญกลุ่มจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น 39,000 บาท และ 110,000 บาท ซึ่งเบสท์ก็โอนและทำภารกิจสำเร็จทั้งสองครั้ง แต่เมื่อถึงแคมเปญที่สาม มิจฉาชีพจะสร้างสถานการณ์โดยอ้างว่ามีคนในกลุ่มทำผิดพลาด ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นการวางกลลวงด้วยการเปลี่ยนเงื่อนไขเล็กน้อย (เช่น จากให้แชร์ 1 แพลตฟอร์ม เป็น 2 แพลตฟอร์ม โดยเขียนตัวเล็กๆ หรือแจ้งกะทันหัน) ทำให้เหยื่อ (เบสท์) กลายเป็นคนทำพลาดเพียงคนเดียวในกลุ่ม และหน้าม้าคนอื่นๆ ก็จะรุมตำหนิ ซ้ำเติม และแสดงความเดือดร้อน เพื่อเพิ่มแรงกดดันให้เหยื่อรู้สึกผิดและต้องแก้ไขสถานการณ์
วิธีการแก้ไขคือการโอนเงินก้อนใหม่ที่สูงกว่าเดิมเข้าไปอีก เช่น 490,000 บาท ในขั้นตอนนี้ มิจฉาชีพจะเริ่มใช้จิตวิทยากดดันเรื่องเวลาอย่างหนัก ให้โอนภายในเวลาจำกัด (เช่น 1 ชั่วโมง) และหน้าม้าก็จะแสดงท่าทีต่างๆ เช่น โอนเงินแล้ว, กำลังไปหาเงิน, ขอให้เหยื่อเห็นใจ บางคนถึงขั้นทักส่วนตัวมาอ้างว่าเป็นแฟนคลับและแสดงความผิดหวังที่เหยื่อทำพลาด ยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้เหยื่อรีบหาเงินมาโอน
เมื่อเบสท์ตัดสินใจโอนเงินก้อน 490,000 บาท ไปแล้ว มิจฉาชีพก็ดึงเวลาการตรวจสอบและทำภารกิจจนเกินเวลาที่กำหนดเพียงเล็กน้อย (อ้างว่าเกินไป 3 นาที) แล้วแจ้งว่าภารกิจล้มเหลว เงินทั้งหมดตั้งแต่ก้อนแรกถูกยึด ทำให้ต้องแก้ไขสถานการณ์อีกครั้งด้วยการโอนเงินก้อนสุดท้ายจำนวน 600,000 บาท ซึ่งเป็นจำนวนที่เงินในบัญชีของเบสท์ไม่พอ
ในขั้นตอนนี้ หน้าม้าจะเข้ามาเสนอให้ยืมเงินจำนวนที่ขาด ทำให้เหยื่อยิ่งหลงเชื่อและยอมโอนเงินส่วนที่มีไปก่อน โดยมิจฉาชีพจะมีการเปลี่ยนบัญชีปลายทางที่ให้โอนเงินไปอย่างรวดเร็วและทำลายหลักฐานการแจ้งบัญชีภายใน 5 นาที ทำให้เหยื่อทำพลาดในการโอน หรือเกิดความสับสนจนต้องโอนเงินเพิ่มอีก กลายเป็นเสียเงินมากกว่าจำนวนที่คิดไว้ ซึ่งเบสท์ต้องเสียเงินเพิ่มอีก 1.5 แสนบาท รวมยอดเสียในก้อนสุดท้าย 4.5 แสนบาท จากเงินตัวเองและเงินที่อ้างว่ามีคนให้ยืม
หลังจากโอนเงินก้อนสุดท้ายรวม 6 แสนบาทแล้ว รอเงินคืนนานผิดปกติ มิจฉาชีพจะอ้างเหตุผลใหม่ว่าเงินในระบบรวมค่าคอมมิชชั่นมีมูลค่าเกิน 2 ล้านบาท ไม่สามารถถอนได้ในห้อง VIP ปกติ ต้องโอนเงินเพิ่มอีก 5 แสนบาท เพื่ออัปเกรด VIP ปลดล็อกบัญชี
ณ จุดนี้ เบสท์เริ่มเอะใจจากความผิดปกติหลายอย่าง ทั้งแพตเทิร์นการให้ยืมเงินที่เหมือนเดิม และคนรอบตัวที่พยายามติดต่อและเตือนสติ ทำให้ตัดสินใจหยุดโอนและรีบโทรอายัดบัญชีที่โอนออกไป จากนั้นเข้าแจ้งความที่ สน.ทองหล่อทันที รวมเวลาที่ตกอยู่ในภวังค์และถูกหลอกกว่า 13 ชั่วโมง โดยไม่กิน ไม่นอน รู้สึกเหมือนถูกสะกดจิต แม้จะมีคนพยายามเตือนก็ไม่รับฟัง เพราะโฟกัสอยู่กับการพยายามเอาเงินตัวเองคืน
เบสท์ ชนิดาภา เปิดเผยยอดความเสียหายทั้งหมดที่เสียไปคือ 1.2 ล้านบาทเศษ มิจฉาชีพทำงานเป็นทีม มีตัวละครหน้าม้าที่สร้างเรื่องราวเพื่อกดดันเหยื่อ เช่น อ้างว่าต้องเอาเงินไปรักษาลูก หรือเอาโฉนดไปจำนอง ทำให้เหยื่อยิ่งรู้สึกผิดและยอมทำตามอย่างง่ายดาย เงินที่โอนไปจะถูกโอนออกอย่างรวดเร็วภายใน 1-10 นาทีไปยังบัญชีม้าอื่น และอาจถูกแปลงเป็นสกุลเงินดิจิทัล ทำให้การติดตามและอายัดทำได้ยาก ทางตำรวจกำลังดำเนินการตรวจสอบและติดตามอยู่ แต่โอกาสได้เงินคืนค่อนข้างยาก แม้จับตัวคนร้ายได้ บัญชีม้าหลายรายเป็นบุคคลที่ไม่มีความสามารถชดใช้
สิ่งที่ทำให้เบสท์เจ็บปวดซ้ำสองคือ หลังจากที่ออกมาเป็นกระบอกเสียงเพื่อเตือนภัย กลับต้องมาเจอคอมเมนต์บูลลี่และ victim-blaming จากชาวเน็ตในหลากหลายรูปแบบ เช่น ‘สวยแต่โง่’, ‘การศึกษาสูงซะเปล่า’, ‘โลภ’, ‘น่าจะโดนเยอะกว่านี้’ ซึ่งสร้างความเครียดอย่างมากจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ อย่างไรก็ตาม เบสท์เข้าใจว่าสังคมไทยยังมีแนวโน้มที่จะโทษเหยื่อ และนี่คือเหตุผลที่ทำให้ผู้เสียหายหลายคนไม่กล้าออกมาเปิดเผยเรื่องราว เบสท์ตัดสินใจออกมาพูดเพราะต้องการเตือนภัยคนอื่นๆ โดยมีหลายคนที่ส่งข้อความมาขอบคุณว่าเห็นข่าวแล้วจึงหยุดตกเป็นเหยื่อได้ทันเวลา
เบสท์ฝากเตือนภัยถึงทุกคนว่า กลโกงมิจฉาชีพมีความซับซ้อนและใช้จิตวิทยาขั้นสูงเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการบีบคั้นด้วยเวลา ทำให้เหยื่อไม่มีเวลาฉุกคิด และความรู้สึกที่ต้องการเงินคืนก็เป็นแรงผลักดันที่ทำให้หลงกลได้ง่าย เรื่องแบบนี้ถ้าไม่เจอกับตัวจะไม่มีวันเข้าใจ จึงอยากขอให้สังคมหยุดบูลลี่เหยื่อ และให้กำลังใจกันและกัน เพราะผู้เสียหายทุกคนล้วนเป็นคนที่ตั้งใจหาเงิน และโดนหลอกลวงด้วยวิธีการที่แยบยลจริงๆ