ร้านอาหารอยุธยา แฉ! ถูกตำรวจขอส่วยรายเดือน แลกความสงบ ไม่ให้ โดนตรวจถี่ยิบ จนลูกค้าหนี ยอดขายตก
พระนครศรีอยุธยา – เกิดเป็นเรื่องราวที่สร้างความไม่สบายใจและส่งผลกระทบต่อการทำมาหากินสุจริตของเจ้าของร้านอาหารแห่งหนึ่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อร้าน “ชอบเจริญ” ซึ่งตั้งอยู่ภายในซอยหมู่บ้านช้างอโยธยา ต.ไผ่ลิง อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ได้ออกมาเปิดเผยพฤติการณ์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งที่อ้างตัวเป็นสารวัตร โทรศัพท์เข้ามาขอเรียกรับเงินรายเดือน แลกกับการไม่ถูกตรวจสอบ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “ส่วย” ซึ่งเมื่อทางร้านปฏิเสธ ก็กลับถูกเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบอย่างถี่ผิดปกติ ส่งผลให้ลูกค้าเกิดความหวาดกลัวและยอดขายลดลง
น.ส.นุ่น (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 33 ปี หุ้นส่วนและผู้จัดการร้าน “ชอบเจริญ” เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ร้านอาหารแห่งนี้เปิดให้บริการมาตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม 2567 โดยจำหน่ายอาหารประเภท “ยำ 79 บาท” มีบรรยากาศเรียบง่าย มีดนตรีสดโฟล์คเดี่ยวเล่นช่วงหัวค่ำ และที่สำคัญคือทางร้านมีใบอนุญาตประกอบกิจการและจำหน่ายสุราอย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ
ปัญหาเริ่มขึ้นในช่วงกลางเดือนมกราคม 2568 เมื่อมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาตรวจร้านตามปกติ ซึ่งทางร้านก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี จนกระทั่งในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ได้มีผู้ชายโทรศัพท์เข้ามา อ้างตัวว่าเป็นสารวัตร และได้พูดจาในลักษณะของการขอเรียกรับผลประโยชน์รายเดือน โดยระบุจำนวนเงิน 1,000 บาทต่อเดือน และค่าตู้แดงอีก 500 บาท โดยอ้างว่าเพื่อแลกกับความสงบ ไม่ต้องโดนตรวจถี่ๆ และยังมีการพาดพิงถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงในจังหวัด รวมถึงชุดเฉพาะกิจต่างๆ
“เราฟังแล้วรู้สึกไม่สบายใจ เพราะเราทำร้านอาหารทั่วไป ไม่ได้เป็นผับบาร์ ไม่ได้เปิดเกินเวลา ทุกอย่างเราทำถูกต้องตามกฎหมายทั้งหมด มีใบอนุญาตครบถ้วน การมาขอเงินแบบนี้เรารู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องและไม่จำเป็นต้องจ่าย” น.ส.นุ่น กล่าว พร้อมเปิดเผยว่าได้บันทึกเสียงบทสนทนาไว้เป็นหลักฐาน และได้ปรึกษากับหุ้นส่วนแล้วตัดสินใจไม่ตอบรับข้อเสนอการจ่ายเงินดังกล่าว
หลังจากนั้นไม่นาน ทางร้านก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติในการเข้ามาตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะในช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายน พบว่ามีการลงพื้นที่ตรวจถี่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด บางครั้งมากันจำนวนมากถึงกว่า 20 นาย ใช้รถยนต์ถึง 5 คัน ทั้งรถตู้และรถกระบะ เจ้าหน้าที่ใช้ไฟฉายส่องไปทั่วร้าน รวมถึงมีการขอตรวจสอบบัตรประชาชนของลูกค้าแต่ละโต๊ะ ซึ่งพฤติการณ์ดังกล่าวสร้างความตกใจให้กับลูกค้าเป็นอย่างมาก บางรายถึงกับลุกออกจากร้านไปและไม่กล้ากลับมาใช้บริการอีก ส่งผลกระทบโดยตรงต่อยอดขายของร้านที่ลดลงอย่างน่าใจหาย
ด้านนายพุฒิพงษ์ ยิ้มประเสริฐ อายุ 33 ปี เจ้าของร้าน เล่าเพิ่มเติมว่า หลังจากทราบเรื่องการเรียกรับเงินและถูกตรวจถี่ ตนได้เดินทางไปที่สถานีตำรวจภูธรพระนครศรีอยุธยา เพื่อขอตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับบุคคลที่โทรศัพท์เข้ามา ซึ่งภายหลังการตรวจสอบ ทาง สภ.พระนครศรีอยุธยา ได้ยืนยันว่าบุคคลในคลิปเสียงเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจริง และทางผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรพระนครศรีอยุธยา ก็ได้รับทราบเรื่องและได้มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องนี้แล้ว
“สิ่งที่เรารู้สึกแย่กว่าคือ พอเราร้องเรียนเรื่องนี้ กลับมีเจ้าหน้าที่ลงมาตรวจร้านมากขึ้นไปอีก โดยอ้างว่าเป็นเพียงการประชาสัมพันธ์ แต่การตรวจลักษณะนี้มันกลับทำให้ลูกค้ากลัว ไม่กล้าเข้ามานั่งกิน เราอยากทำมาหากินอย่างสุจริต แต่กลับต้องมารับแรงกดดันในรูปแบบนี้ มันไม่เป็นธรรม” นายพุฒิพงษ์ กล่าวด้วยความอัดอั้น
เจ้าของร้านทั้งสองคนยืนยันว่า การที่นำเรื่องนี้ออกมาเปิดเผยต่อสื่อมวลชน ไม่ได้มีเจตนาที่จะสร้างความขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยรวม แต่ต้องการให้สังคมได้เห็นถึงพฤติกรรมการใช้อำนาจในลักษณะที่ไม่เหมาะสมเช่นนี้ และต้องการให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้ความเป็นธรรมกับทางร้านอย่างแท้จริง เพื่อให้ประชาชนที่ทำมาหากินสุจริตสามารถประกอบอาชีพได้อย่างสงบสุข ปราศจากการคุกคามในรูปแบบต่างๆ