ช็อก! ผู้ช่วย รมว.สธ. ยันชัด รพ.แรก ให้เลือดผิดกรุ๊ป เหยื่อก้อนปูนพระราม 2 ชี้ผิดหลักปฏิบัติการแพทย์

กรุงเทพฯ – ความคืบหน้ากรณีโศกนาฏกรรมก้อนปูนตกใส่รถบนถนนพระราม 2 จนเป็นเหตุให้นายอำนาจ ทองขำ อายุ 46 ปี เสียชีวิต นอกจากประเด็นเรื่องความปลอดภัยของการก่อสร้างแล้ว ยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล ที่ครอบครัวตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็นสาเหตุร่วมที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง

ประเด็นดังกล่าวถูกจุดขึ้นเมื่อครอบครัวนายอำนาจตั้งข้อสังเกตว่า โรงพยาบาลแห่งแรกที่รับตัวนายอำนาจเข้ารับการรักษาหลังประสบอุบัติเหตุ อาจให้เลือดผิดกรุ๊ป ซึ่งขัดแย้งกับกรุ๊ปเลือดจริงของนายอำนาจ (กรุ๊ปบี) โดยแพทย์ตรวจพบเลือดกรุ๊ปเอในร่างกายของผู้เสียชีวิต

ล่าสุด วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 นายกองตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข ได้ออกมายืนยันข้อเท็จจริงที่น่าตกใจดังกล่าว โดยระบุว่า โรงพยาบาลแห่งแรกที่รับตัวนายอำนาจได้ให้เลือดผิดกรุ๊ปจริง ขณะนั้นผู้บาดเจ็บอาการสาหัสและเสียเลือดมาก ซึ่งตามหลักปฏิบัติทางการแพทย์ในกรณีฉุกเฉินที่มีการเสียเลือดจำนวนมาก และยังไม่ทราบกรุ๊ปเลือดที่ชัดเจน หรือต้องการความรวดเร็ว ควรให้เลือดกรุ๊ปโอ (O Negative สำหรับกรณีไม่ทราบ Rh factor หรือ O Positive ในกรณีส่วนใหญ่) ซึ่งถือเป็นกรุ๊ปเลือดสากลที่สามารถให้กับผู้ป่วยได้เกือบทุกคนโดยมีความเสี่ยงต่ำ

ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเด็นการเยียวยาผู้เสียชีวิต จะต้องพิจารณาแยกเป็นส่วน โดยส่วนแรกคือการเยียวยาจากเหตุการณ์ก้อนปูนตก ซึ่งเป็นสาเหตุของการบาดเจ็บโดยตรง ส่วนประเด็นความผิดพลาดทางการแพทย์ที่เกิดขึ้นที่โรงพยาบาล จะต้องมีการพิจารณาและหารือในรายละเอียดอีกครั้ง เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้นในกระบวนการรักษาพยาบาล และพิจารณาแนวทางการเยียวยาที่เหมาะสมต่อไป

เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่ตอกย้ำถึงปัญหาด้านความปลอดภัยบนถนนพระราม 2 ซึ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์มาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังนำมาสู่คำถามสำคัญเกี่ยวกับมาตรฐานและหลักปฏิบัติทางการแพทย์ในภาวะฉุกเฉิน ความผิดพลาดในการให้เลือดผิดกรุ๊ปถือเป็นความผิดพลาดร้ายแรงทางการแพทย์ที่อาจส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้ป่วยได้โดยตรง การยืนยันจากผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าความผิดพลาดนี้เกิดขึ้นจริง ยิ่งสร้างความกังวลให้กับประชาชนเกี่ยวกับคุณภาพการรักษาพยาบาลในภาวะวิกฤติ

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขและโรงพยาบาลที่เกี่ยวข้องจะต้องเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยละเอียด เพื่อชี้แจงต่อสาธารณชนถึงสาเหตุที่แท้จริงของความผิดพลาดดังกล่าว รวมถึงมาตรการป้องกันเพื่อไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำอีกในอนาคต ขณะที่การพิจารณาเยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิตจากทั้งสองส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งเหตุการณ์ต้นทางและประเด็นทางการแพทย์ ควรดำเนินการอย่างรวดเร็วและเป็นธรรม เพื่อบรรเทาความสูญเสียและความทุกข์ใจของครอบครัวผู้ประสบเหตุ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *