APAC เผชิญวิกฤตเบาหวานหนัก! ค่าใช้จ่ายพุ่งสูงสุดโลก ‘Herbalife’ ชี้ทางปรับไลฟ์สไตล์สู้โรค ก่อนสายเกินแก้

APAC เผชิญวิกฤตเบาหวานหนัก! ค่าใช้จ่ายพุ่งสูงสุดโลก ‘Herbalife’ ชี้ทางปรับไลฟ์สไตล์สู้โรค ก่อนสายเกินแก้

สถานการณ์โรคเบาหวานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC) กำลังเป็นที่น่ากังวลอย่างยิ่ง โดยมีการคาดการณ์ว่าภูมิภาคนี้จะต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายทางเศรษฐกิจจากโรคเบาหวานสูงที่สุดในโลกภายในปี 2030 ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันวิกฤตนี้คือโรคอ้วน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักของการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเหล่านี้สามารถปรับเปลี่ยนได้ด้วยการดูแลตนเอง

การมีน้ำหนักเกินไม่เพียงแต่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน แต่ยังนำไปสู่ภาวะดื้ออินซูลิน ซึ่งเป็นภาวะที่ร่างกายไม่สามารถตอบสนองต่ออินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ดร.อเล็กซ์ เตียว ผู้อำนวยการและฝ่ายพัฒนาการวิจัยและวิทยาศาสตร์ เฮอร์บาไลฟ์ เอเชียแปซิฟิก (Herbalife Asia Pacific) ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญและความเร่งด่วนของปัญหาดังกล่าว จึงได้ออกมาเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน พร้อมทั้งแบ่งปันแนวทางในการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์เพื่อต่อสู้กับโรค และสร้างเสริมสุขภาพที่ดีให้กับทุกคน

ทำไม APAC เสี่ยงเบาหวานเพิ่มสูงขึ้น?

ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากรูปแบบการใช้ชีวิตของคนเมืองที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบ เคร่งเครียด และขาดการเคลื่อนไหวร่างกายจากการใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการทำงานเป็นเวลานาน นอกจากนี้ การเข้าถึงอาหารจานด่วนและอาหารแปรรูปได้อย่างง่ายดาย ยังส่งเสริมพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม เช่น การกินขนมหรือของว่างเพื่อคลายความเครียด ซึ่งล้วนส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว

สิ่งที่น่ากังวลไม่แพ้กันคือ อัตราการเพิ่มขึ้นของเด็กที่มีน้ำหนักเกิน ภาวะอ้วนในวัยเด็กนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาสุขภาพที่ซับซ้อนในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคหัวใจและหลอดเลือด หรือโรคเรื้อรังอื่นๆ

นอกจากนี้ ยังมีภาวะที่เรียกว่า “TOFI” (Thin Outside, Fat Inside: ผอมภายนอก อ้วนภายใน) ซึ่งพบได้บ่อยในชาวเอเชียและผู้ที่มีพฤติกรรมเนือยนิ่ง รวมถึงผู้ที่บริโภคโปรตีนไม่เพียงพอ คนกลุ่มนี้ภายนอกอาจดูสมส่วน แต่มีไขมันส่วนเกินสะสมอยู่ภายใน ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานได้เช่นกัน ที่สำคัญคือ โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในระยะเริ่มต้นมักไม่แสดงอาการ ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงโดยไม่รู้ตัว จึงพลาดโอกาสในการดูแลตนเองตั้งแต่เนิ่นๆ

กินแบบสมาร์ท แค่ปรับนิด ชีวิตเปลี่ยน

โภชนาการมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งทั้งในการป้องกันและจัดการโรคเบาหวานชนิดที่ 2 การเลือกรับประทานอาหารจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาล (Glycemic Index: GI) สูง เช่น ขนมปังขาว ขนมหวาน หรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงอย่าง ชานมไข่มุก จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งหากเกิดขึ้นเป็นประจำ อาจนำไปสู่ภาวะดื้ออินซูลินได้ในระยะยาว การลดเครื่องดื่มเหล่านี้และหันมาเลือกดื่มน้ำเปล่าหรือเครื่องดื่มที่ไม่เติมน้ำตาล จะช่วยควบคุมปริมาณน้ำตาลส่วนเกินได้ดีขึ้น

ในทางตรงกันข้าม การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ธัญพืชเต็มเมล็ด ผัก และผลไม้ที่มีใยอาหารสูง จะช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ เนื่องจากใยอาหารจะช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล ทำให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น และยังช่วยส่งเสริมระบบการย่อยอาหารให้ทำงานได้ดีขึ้น

การให้ความสำคัญกับอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป ไขมันทรานส์ และลดปริมาณน้ำตาลและโซเดียม จะช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวานสามารถจัดการกับโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างสุขภาพโดยรวมและระบบเผาผลาญให้แข็งแรง

มองหาตัวช่วยที่ใช่ เสริมสุขภาพแข็งแรง

สารอาหารบางชนิดมีบทบาทสำคัญในการควบคุมน้ำหนักและส่งเสริมระบบเผาผลาญ โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โปรตีน เป็นสารอาหารที่ช่วยควบคุมความอยากอาหาร ทำให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น และยังช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย

กรดไขมันโอเมก้า-3 ซึ่งพบมากในปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาแซลมอน มีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบในร่างกาย เพิ่มความไวต่ออินซูลิน และลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ ที่มักเกี่ยวข้องกับโรคอ้วน

สำหรับ แมกนีเซียม เป็นแร่ธาตุที่ช่วยเสริมการทำงานของอินซูลินและการเผาผลาญกลูโคสในร่างกาย การได้รับแมกนีเซียมที่เพียงพอจะช่วยเพิ่มความไวต่ออินซูลินและช่วยในการจัดการระดับน้ำตาลในเลือด นอกจากนี้ แมกนีเซียมยังช่วยรักษาระดับความดันโลหิตให้เป็นปกติ และเสริมสร้างการทำงานของกล้ามเนื้อ ทำให้เราสามารถออกกำลังกายและควบคุมน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ออกกำลังกาย พักผ่อน และจัดการความเครียด

นอกจากการเลือกรับประทานอาหารแล้ว การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเป็นอีกหัวใจสำคัญในการป้องกันและจัดการโรคเบาหวาน การออกกำลังกายระดับปานกลางอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ ช่วยควบคุมน้ำหนักและเพิ่มความไวของเซลล์ต่ออินซูลิน ซึ่งจำเป็นต่อการควบคุมระดับน้ำตาล หากมีข้อจำกัดด้านเวลา การทำกิจกรรมง่ายๆ ระหว่างวัน เช่น การยืดเส้นยืดสาย หรือโยคะบนเก้าอี้ทำงาน หรือการเดินระยะสั้นๆ ก่อนหรือหลังมื้ออาหาร ก็สามารถช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ได้

นอกจากนี้ การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอและความเครียดเรื้อรัง สามารถรบกวนสมดุลของฮอร์โมนในร่างกายและส่งผลเสียต่อระบบเผาผลาญ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานได้ ดังนั้น การให้ความสำคัญกับการพักผ่อนที่เพียงพอและการเรียนรู้วิธีจัดการความเครียด เช่น การทำสมาธิ หรือการฝึกหายใจลึกๆ จะช่วยควบคุมฮอร์โมนความเครียดให้อยู่ในระดับปกติ ส่งผลดีต่อระบบเผาผลาญและสุขภาพโดยรวม

แม้ว่าวิถีชีวิตในปัจจุบันจะเต็มไปด้วยความเร่งรีบ ทำให้การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่การเริ่มต้นปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประจำวันทีละเล็กน้อยอย่างสม่ำเสมอ ควบคู่ไปกับการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน และการตรวจสุขภาพเพื่อคัดกรองความเสี่ยงตั้งแต่เนิ่นๆ ถือเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการรับมือและป้องกันวิกฤตโรคเบาหวานที่กำลังทวีความรุนแรงในภูมิภาคนี้

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *